“กิฟฟารีน” สุดอั้นต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง สั่งปรับราคาสินค้าขึ้น ยอมตัดลดกำไรลง 20% ซ้ำร้ายครึ่งปีแรกเติบโตต่ำเป้าอีก พร้อมรุกครึ่งปีหลังต่อเนื่อง และขยายอาเซียนมากขึ้นรับเออีซี สิ้นปีนี้บุกเข้าอินโดนีเซีย ส่วนปีหน้าเข้าเวียดนาม ดันรายได้ต่างประเทศเป็น 500 ล้านบาทในปี 2558
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจขายตรงแบรนด์กิฟฟารีน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประมาณ 10 รายการจากทั้งหมด 2,000 กว่ารายการ เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การปรับราคาเพิ่มขึ้นก็ยังไม่สามารถครอบคลุมถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นได้ ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องปรับลดผลกำไรจากการขายสินค้าลงประมาณ 10-20% เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนจากการปรับราคาสินค้าครั้งนี้
นอกจากนั้น ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้เติบโตประมาณ 6-7% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะเติบโต 10% เนื่องจากช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้ผลิตสินค้าเข้าทำตลาดไม่เต็มที่ แต่ขณะนี้เราสามารถกลับมาผลิตสินค้าได้เต็มที่แล้ว
นางนลินีกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีแผนการขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะขยายธุกริจไปยังต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นด้วยเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนได้แล้ว 4 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย ซึ่งแผนงานจากนี้ไป ภายในสิ้นปีนี้จะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนปีหน้าจะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเวียดนามด้วย
รูปแบบการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ บริษัทฯ จะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปปีละ 1 ประเทศ ทั้งนี้ ภายในอีก 3 ปีจากนี้หรือภายในปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 400 ล้านบาท เพราะราคาสินค้าที่จำหน่ายในต่างประเทศยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เนื่องจากอัตรากำแพงภาษีมีการปรับลดลงแล้ว ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าเท่ากับราคาที่ขายในประเทศไทย
“ในความเห็นส่วนตัวแล้วมองว่าการเปิดเออีซีถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราจะสามารถนำเข้าวัตถุดิบ และแพกเกจจิ้งคุณภาพได้ในราคาที่ถูกลง แต่เรื่องการตั้งโรงงานในต่างประเทศนั้นบริษัทยังไม่มีแผน เนื่องจากการผลิตสินค้าเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” นางนลินีกล่าว
สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัทฯ ในสิ้นปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5,488 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดือน ก.ย.นี้บริษัทก็มีแผนที่จะจัดงานครบรอบ 16 ปีกิฟฟารีน เพื่อฉลองความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้จะเน้นการทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น เพราะบริษัทมั่นใจว่าปีนี้ไม่น่าจะเกิดปัญหาน้ำท่วมเหมือนกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา ภายหลังจากรัฐบาลออกมาวางแผนมาตรการป้องกันน้ำท่วม
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจขายตรงแบรนด์กิฟฟารีน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประมาณ 10 รายการจากทั้งหมด 2,000 กว่ารายการ เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การปรับราคาเพิ่มขึ้นก็ยังไม่สามารถครอบคลุมถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นได้ ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องปรับลดผลกำไรจากการขายสินค้าลงประมาณ 10-20% เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนจากการปรับราคาสินค้าครั้งนี้
นอกจากนั้น ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้เติบโตประมาณ 6-7% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะเติบโต 10% เนื่องจากช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้ผลิตสินค้าเข้าทำตลาดไม่เต็มที่ แต่ขณะนี้เราสามารถกลับมาผลิตสินค้าได้เต็มที่แล้ว
นางนลินีกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีแผนการขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะขยายธุกริจไปยังต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นด้วยเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนได้แล้ว 4 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย ซึ่งแผนงานจากนี้ไป ภายในสิ้นปีนี้จะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนปีหน้าจะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเวียดนามด้วย
รูปแบบการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ บริษัทฯ จะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปปีละ 1 ประเทศ ทั้งนี้ ภายในอีก 3 ปีจากนี้หรือภายในปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 400 ล้านบาท เพราะราคาสินค้าที่จำหน่ายในต่างประเทศยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เนื่องจากอัตรากำแพงภาษีมีการปรับลดลงแล้ว ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าเท่ากับราคาที่ขายในประเทศไทย
“ในความเห็นส่วนตัวแล้วมองว่าการเปิดเออีซีถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราจะสามารถนำเข้าวัตถุดิบ และแพกเกจจิ้งคุณภาพได้ในราคาที่ถูกลง แต่เรื่องการตั้งโรงงานในต่างประเทศนั้นบริษัทยังไม่มีแผน เนื่องจากการผลิตสินค้าเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” นางนลินีกล่าว
สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัทฯ ในสิ้นปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5,488 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดือน ก.ย.นี้บริษัทก็มีแผนที่จะจัดงานครบรอบ 16 ปีกิฟฟารีน เพื่อฉลองความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้จะเน้นการทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น เพราะบริษัทมั่นใจว่าปีนี้ไม่น่าจะเกิดปัญหาน้ำท่วมเหมือนกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา ภายหลังจากรัฐบาลออกมาวางแผนมาตรการป้องกันน้ำท่วม