ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจประเมินจีดีพีไทยปี 56 โต 4.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังปัจจัยเสี่ยงเพียบทั้งเศรษฐกิจโลกไม่ดี การเมืองในประเทศป่วน และยังมีปัญหาบาทแข็ง ขาดแรงงาน ขึ้นค่าแรง 300 บาทซ้ำเติม แนะรัฐเร่งใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์ฯ ได้ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.5% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยปี 2554 ขยายตัว 5.6% และปี 2555 คาดว่าจะขยายตัว 5.4% ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วงมากเพราะมีปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หากไม่มีการรับมือให้ดีเศรษฐกิจไทยถือว่ามีความเสี่ยงสูง
ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2556 มาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัว มีปัญหาเสถียรภาพการเมืองโลก เช่น สหรัฐฯ มีปัญหาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม พื้นที่ทับซ้อนจีนกับญี่ปุ่น ปัญหาการว่างงานสหรัฐฯ และยุโรป ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ภัยทางธรรมชาติ
ส่วนปัจจัยลบภายในประเทศ มีปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมประท้วง หากยืดเยื้อและรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และต้องจับตาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เงินบาทจะแข็งค่ามากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ภัยธรรมชาติ การขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม และปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับค่าแรงวันละ 300 บาททั่วประเทศ รวมไปถึงการปรับขึ้นของค่าพลังงาน ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า ค่าขนส่ง เป็นต้น
“รัฐบาลต้องเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการใช้งบประมาณขาดดุล 3 แสนล้าน การใช้เงิน พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านในการดูแลน้ำท่วม ที่ทุกอย่างจะต้องทำได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2556 ต้องดูแลอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม โดยคาดว่าดอกเบี้ยน่าจะลดลงได้อีก หรือให้ทรงตัวอยู่ในระดับ 2.5-3.25% และต้องมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น ค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท การรับจำนำข้าว หากรัฐบาลทำได้เร็ว เชื่อว่าเศรษฐกิจปี 2556 น่าจะโตได้ 4.5% โดยมีกรอบ 4-5%” นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับการส่งออกปี 2556 คาดว่าจะมีมูลค่า 2.43 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.4% นำเข้ามูลค่า 2.41 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.1% ได้ดุลการค้า 2,331 ล้านเหรียญสหรัฐ ดุลบัญชีสะพัดขาดดุล 5,089 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อ 3.58% อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท/เหรียญสหรัฐ ส่วนการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาไทย 22 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.5-8% รายได้ 9.66 แสนล้านบาท หรืออาจจะทำได้ถึง 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 19-19.5%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์ฯ ได้ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.5% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยปี 2554 ขยายตัว 5.6% และปี 2555 คาดว่าจะขยายตัว 5.4% ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วงมากเพราะมีปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หากไม่มีการรับมือให้ดีเศรษฐกิจไทยถือว่ามีความเสี่ยงสูง
ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2556 มาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัว มีปัญหาเสถียรภาพการเมืองโลก เช่น สหรัฐฯ มีปัญหาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม พื้นที่ทับซ้อนจีนกับญี่ปุ่น ปัญหาการว่างงานสหรัฐฯ และยุโรป ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ภัยทางธรรมชาติ
ส่วนปัจจัยลบภายในประเทศ มีปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมประท้วง หากยืดเยื้อและรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และต้องจับตาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เงินบาทจะแข็งค่ามากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ภัยธรรมชาติ การขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม และปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับค่าแรงวันละ 300 บาททั่วประเทศ รวมไปถึงการปรับขึ้นของค่าพลังงาน ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า ค่าขนส่ง เป็นต้น
“รัฐบาลต้องเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการใช้งบประมาณขาดดุล 3 แสนล้าน การใช้เงิน พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านในการดูแลน้ำท่วม ที่ทุกอย่างจะต้องทำได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2556 ต้องดูแลอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม โดยคาดว่าดอกเบี้ยน่าจะลดลงได้อีก หรือให้ทรงตัวอยู่ในระดับ 2.5-3.25% และต้องมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น ค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท การรับจำนำข้าว หากรัฐบาลทำได้เร็ว เชื่อว่าเศรษฐกิจปี 2556 น่าจะโตได้ 4.5% โดยมีกรอบ 4-5%” นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับการส่งออกปี 2556 คาดว่าจะมีมูลค่า 2.43 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.4% นำเข้ามูลค่า 2.41 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.1% ได้ดุลการค้า 2,331 ล้านเหรียญสหรัฐ ดุลบัญชีสะพัดขาดดุล 5,089 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อ 3.58% อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท/เหรียญสหรัฐ ส่วนการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาไทย 22 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.5-8% รายได้ 9.66 แสนล้านบาท หรืออาจจะทำได้ถึง 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 19-19.5%
