“นายกฯ” เร่งปรับปรุงศักยภาพดอนเมืองเต็มประสิทธิภาพ ขยายสุวรรณภูมิเฟส 3 และรันเวย์ 3 สร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เชื่อม 2 ท่าอากาศยาน ยันนโยบาย Duo Airport รองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มและดันเป็นฮับในภูมิภาค ด้าน “จารุพงศ์” จี้ทอท.เร่งชดเชยเสียง เสนอ ครม.ทบทวนเกณฑ์จ่ายเงินจากเส้นทางบิน 80% เป็น 100% คาดงบเพิ่ม 20% เชื่อชาวบ้านพอใจ ด้าน ทอท.เร่งปรับปรุงอาคาร 2 ดอนเมือง ประมูลปี 56 รองรับเพิ่มเป็น 29 ล้านคนต่อปี
วันนี้ (12 ต.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของท่าอากาศยานดอนเมืองหลังจากเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคมที่ผ่านมา โดยนางสาวยิ่งลักษณ์เปิดเผยว่า นโยบายของรัฐบาลเปลี่ยนจาก Single Airport เป็น Duo Airport คือใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิควบคู่กับท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ซึ่งการเติบโตของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ปีที่ผ่านมาจะเกิดอุทกภัย แต่ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ จนสร้างความเชื่อมั่นกลับมานักท่องเที่ยวจึงเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 และใช้ดอนเมืองมากขึ้นจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวได้มาก
“จะต้องเร่งดำเนินโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เพื่อเชื่อม 2 สนามบินเข้าด้วยกัน และการใช้สนามบินอย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นโจทย์ที่ฝากให้กระทรวงคมนาคมเป็นหลักในการประสานการทำงานทุกภาคส่วนในการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ รองรับ และทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพผู้โดยสารพึงพอใจ รวมถึงต้องสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยด้วย” นายกฯ กล่าว
ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า นายกฯ เร่งให้ขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 3 และการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งดอนเมืองจะต้องเร่งปรับปรุงขีดความสามารถเพื่อให้กลับมารองรับผู้โดยสารให้เต็มศักยภาพเหมือนเดิม คือประมาณ 30 กว่าล้านคนต่อปี ซึ่งการพัฒนาต่างๆ ต้องใช้เวลา 3-5 ปี โดยอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเร่งติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด
ทั้งนี้ นายกฯ ยังต้องการให้เร่งการก่อสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ส่วนต่อขยายมักกะสัน-พญาไท และพญาไท-ดอนเมือง เพื่อให้เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมืองโดยเร็ว เพราะจะช่วยให้การเดินทางระหว่าง 2 ท่าอากาศยานสะดวกมากยิ่งขึ้น
เสนอ ครม.ทบทวนเกณฑ์ชดเชยเสียง
สำหรับการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 นั้น นายจารุพงศ์กล่าวว่า ขณะนี้ยังติดขัดเรื่องการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากสุวรรณภูมิเฟสแรก ซึ่งได้ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.เร่งจ่ายชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบให้จบเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ กระทรวงยังได้เสนอเรื่องไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเพื่อขอทบทวนมติ ครม.เรื่องเกณฑ์การจ่ายชดเชยเสียงใหม่ ซึ่งจะเป็นการปรับจากเกณฑ์เดิมในเรื่องเส้นทางการบินจาก 80% เป็น 100% โดยส่งผลให้งบประมาณในการชดเชยเพิ่มขึ้นจากเดิม 11,233 ล้านบาท ประมาณ 20% ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กฤษฎีกา สำนักงบประมาณ เป็นต้น คาดว่าอีกประมาณ 1 เดือนจะสามารถเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาได้
“จากที่ได้มีการพูดคุยกับผู้นำชุมชนที่ได้รับผลกระทบ รับฟังข้อมูลและเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจตรงกันแล้ว ซึ่งส่วนของนโยบายเห็นใจผู้ได้รับผลกระทบ การแก้ปัญหาเพื่อให้รันเวย์ที่ 3 เดินหน้าได้ เพราะก่อนก่อสร้างจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ ต้องดำเนินการด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถ้าไม่เคลียร์ปัญหาเฟสแรกจะเป็นอุปสรรคกับรันเวย์ 3 แน่นอน” นายจารุพงศ์กล่าว
ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมามีผู้โดยสารใช้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง 33,700 คนต่อวัน มีเที่ยวบิน 315 เที่ยวบินต่อวัน แบ่งเป็นเที่ยวบินในประเทศ 227 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 88 เที่ยวบินต่อวัน และขณะนี้อยู่ระหว่างทำรายละเอียดการจัดจ้างเพื่อปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 โดยจะดำเนินการในปี 2556 โดยอาคาร 2 รองรับผู้โดยสารได้ 9 ล้านคนต่อปี รวมกับอาคาร 1 อีก 16 ล้านคนต่อปี จะทำให้ขีดความสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารของดอนเมืองเพิ่มเป็น 29 ล้านคนต่อปี
ซึ่งการปรับปรุงอาคาร 2 นั้นจะเป็นการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สายพานลำเลียงกระเป๋าผู้โดยสารขาออกที่มีการนำไปใช้งานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ห้องน้ำ เป็นต้น โดยตามแผนจะแล้วเสร็จและพร้อมใช้ปลายปี 2556 ในขณะที่คาดว่าผู้โดยสารจะมีการเติบโตประมาณ 20-30% ซึ่งขณะนี้มีสายการบินต้นทุนต่ำ 2-3 สายแสดงความสนใจย้ายมาที่ดอนเมือง โดยอยู่ระหว่าเจรจาเนื่องจากมีความเชื่อมั่นในบริการ
อย่างไรก็ตาม แผนการป้องกันน้ำท่วมสนามบินดอนเมืองนั้น นอกจากการก่อสร้างกำแพงโดยรอบแล้ว ทอท.ยังมีพื้นที่แก้มลิงกักเก็บน้ำอยู่ทางด้านเหนือของสนามบินและมีการบริหารจัดการการระบายน้ำร่วมกับหน่วยงานราชการโดยรอบ เพื่อให้การระบายน้ำไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียงด้วย
วันนี้ (12 ต.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของท่าอากาศยานดอนเมืองหลังจากเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคมที่ผ่านมา โดยนางสาวยิ่งลักษณ์เปิดเผยว่า นโยบายของรัฐบาลเปลี่ยนจาก Single Airport เป็น Duo Airport คือใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิควบคู่กับท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ซึ่งการเติบโตของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ปีที่ผ่านมาจะเกิดอุทกภัย แต่ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ จนสร้างความเชื่อมั่นกลับมานักท่องเที่ยวจึงเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 และใช้ดอนเมืองมากขึ้นจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวได้มาก
“จะต้องเร่งดำเนินโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เพื่อเชื่อม 2 สนามบินเข้าด้วยกัน และการใช้สนามบินอย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นโจทย์ที่ฝากให้กระทรวงคมนาคมเป็นหลักในการประสานการทำงานทุกภาคส่วนในการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ รองรับ และทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพผู้โดยสารพึงพอใจ รวมถึงต้องสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยด้วย” นายกฯ กล่าว
ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า นายกฯ เร่งให้ขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 3 และการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งดอนเมืองจะต้องเร่งปรับปรุงขีดความสามารถเพื่อให้กลับมารองรับผู้โดยสารให้เต็มศักยภาพเหมือนเดิม คือประมาณ 30 กว่าล้านคนต่อปี ซึ่งการพัฒนาต่างๆ ต้องใช้เวลา 3-5 ปี โดยอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเร่งติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด
ทั้งนี้ นายกฯ ยังต้องการให้เร่งการก่อสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ส่วนต่อขยายมักกะสัน-พญาไท และพญาไท-ดอนเมือง เพื่อให้เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมืองโดยเร็ว เพราะจะช่วยให้การเดินทางระหว่าง 2 ท่าอากาศยานสะดวกมากยิ่งขึ้น
เสนอ ครม.ทบทวนเกณฑ์ชดเชยเสียง
สำหรับการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 นั้น นายจารุพงศ์กล่าวว่า ขณะนี้ยังติดขัดเรื่องการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากสุวรรณภูมิเฟสแรก ซึ่งได้ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.เร่งจ่ายชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบให้จบเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ กระทรวงยังได้เสนอเรื่องไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเพื่อขอทบทวนมติ ครม.เรื่องเกณฑ์การจ่ายชดเชยเสียงใหม่ ซึ่งจะเป็นการปรับจากเกณฑ์เดิมในเรื่องเส้นทางการบินจาก 80% เป็น 100% โดยส่งผลให้งบประมาณในการชดเชยเพิ่มขึ้นจากเดิม 11,233 ล้านบาท ประมาณ 20% ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กฤษฎีกา สำนักงบประมาณ เป็นต้น คาดว่าอีกประมาณ 1 เดือนจะสามารถเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาได้
“จากที่ได้มีการพูดคุยกับผู้นำชุมชนที่ได้รับผลกระทบ รับฟังข้อมูลและเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจตรงกันแล้ว ซึ่งส่วนของนโยบายเห็นใจผู้ได้รับผลกระทบ การแก้ปัญหาเพื่อให้รันเวย์ที่ 3 เดินหน้าได้ เพราะก่อนก่อสร้างจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ ต้องดำเนินการด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถ้าไม่เคลียร์ปัญหาเฟสแรกจะเป็นอุปสรรคกับรันเวย์ 3 แน่นอน” นายจารุพงศ์กล่าว
ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมามีผู้โดยสารใช้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง 33,700 คนต่อวัน มีเที่ยวบิน 315 เที่ยวบินต่อวัน แบ่งเป็นเที่ยวบินในประเทศ 227 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 88 เที่ยวบินต่อวัน และขณะนี้อยู่ระหว่างทำรายละเอียดการจัดจ้างเพื่อปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 โดยจะดำเนินการในปี 2556 โดยอาคาร 2 รองรับผู้โดยสารได้ 9 ล้านคนต่อปี รวมกับอาคาร 1 อีก 16 ล้านคนต่อปี จะทำให้ขีดความสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารของดอนเมืองเพิ่มเป็น 29 ล้านคนต่อปี
ซึ่งการปรับปรุงอาคาร 2 นั้นจะเป็นการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สายพานลำเลียงกระเป๋าผู้โดยสารขาออกที่มีการนำไปใช้งานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ห้องน้ำ เป็นต้น โดยตามแผนจะแล้วเสร็จและพร้อมใช้ปลายปี 2556 ในขณะที่คาดว่าผู้โดยสารจะมีการเติบโตประมาณ 20-30% ซึ่งขณะนี้มีสายการบินต้นทุนต่ำ 2-3 สายแสดงความสนใจย้ายมาที่ดอนเมือง โดยอยู่ระหว่าเจรจาเนื่องจากมีความเชื่อมั่นในบริการ
อย่างไรก็ตาม แผนการป้องกันน้ำท่วมสนามบินดอนเมืองนั้น นอกจากการก่อสร้างกำแพงโดยรอบแล้ว ทอท.ยังมีพื้นที่แก้มลิงกักเก็บน้ำอยู่ทางด้านเหนือของสนามบินและมีการบริหารจัดการการระบายน้ำร่วมกับหน่วยงานราชการโดยรอบ เพื่อให้การระบายน้ำไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียงด้วย
