เปิดเออีซี อานิสงส์ตลาดบริหารและออกแบบพิพิธภัณฑ์รุ่ง “ซีเอ็มโอ” รุกคืบขยายการให้บริการรับศึก คาดปีหน้ากวาดรายได้ร่วม 120 ล้านบาทจาก 6 งาน พร้อมส่งรายได้รวมแตะ 1,300 ล้านบาท จากเป้าปีนี้วางไว้ 1,100 ล้านบาท โตจากปีก่อน 15%
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO เปิดเผยว่า ตลาดพิพิธภัณฑ์มูลค่า 2,000 ล้านบาทกำลังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเปิดเออีซีในปี 2558 หลังจากนั้นอีก 2 ปีเชื่อว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดปีละ 15% จากปกติเติบโตปีละ 10% เนื่องจากเห็นแนวโน้มของประเทศแถบอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย พม่า และลาว รวมถึงประเทศไทย จะมีการสร้างพิพิธภัณฑ์มากขึ้นเพื่อต้องการสร้างการรับรู้และสร้างแบรนด์มากขึ้น ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน ทักษะการจัดทำพิพิธภัณฑ์ของคนไทยที่อยู่ในขั้นมาตรฐาน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ตลาดพิพิธภัณฑ์ของไทยแข่งขันได้
ล่าสุดซีเอ็มโอ จากเดิมที่มีหน่วยธุรกิจรับงานด้านการจัดนิทรรศการทั้งงานนิทรรศการแบบถาวรประเภทพิพิธภัณฑ์และงานนิทรรศการแบบชั่วคราวอยู่แล้ว ได้มีการปรับกลยุทธ์โดยการรับบริหารและออกแบบพิพิธภัณฑ์แบบครบวงจรเพิ่มเข้ามาเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย และรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อไป
โดยปีนี้กลุ่มธุรกิจบริหารและออกแบบพิพิธภัณฑ์มีจำนวนงานทั้งหมด 11 งาน ทำรายได้อยู่ที่ 70 ล้านบาท ในปีหน้าวางเป้ารายได้ไว้ที่ 120 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีจำนวนงานเข้ามาแล้วกว่า 6 งาน มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท มองว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปกลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะมีอัตราการเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 12% หรือสร้างรายได้ให้บริษัทราว 10% ต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสี่นี้คาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอีเวนต์ยังไปได้ดีอยู่ จากกลุ่มยานยนต์, การสื่อสาร, การขยายตัวของแบรนด์ไทยสู่รีจีนัลแบรนด์ และศึกน้ำดำที่แข่งขันรุนแรง ทำให้มีการจัดงานอีเวนต์กันมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทเองยังมีงานอีเวนต์ที่เตรียมจะจัดอยู่อีกหลายงานเช่นกัน มั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันภาพรวมรายได้ของบริษัทในสิ้นปีนี้ปิดที่ 1,100 ล้านบาท เติบโต 15% ได้จาก 870 ล้านบาทในปีก่อน มาจากกลุ่มเช่าอุปกรณ์ 30% และออร์แกไนซ์ 70% โดยทิศทางการดำเนินงานด้านการจัดอีเวนต์จะมุ่งพัฒนาสร้างงานอีเวนต์แบบคงที่ต่อเนื่องจากเดิมมีอยู่ 30% เพื่อเป็น 50% ต่อไปให้ได้ เพื่อต้องการบาลานซ์รายได้ให้คงที่มากยิ่งขึ้น ส่วนปีหน้ามั่นใจว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,300 ล้านบาท
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO เปิดเผยว่า ตลาดพิพิธภัณฑ์มูลค่า 2,000 ล้านบาทกำลังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเปิดเออีซีในปี 2558 หลังจากนั้นอีก 2 ปีเชื่อว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดปีละ 15% จากปกติเติบโตปีละ 10% เนื่องจากเห็นแนวโน้มของประเทศแถบอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย พม่า และลาว รวมถึงประเทศไทย จะมีการสร้างพิพิธภัณฑ์มากขึ้นเพื่อต้องการสร้างการรับรู้และสร้างแบรนด์มากขึ้น ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน ทักษะการจัดทำพิพิธภัณฑ์ของคนไทยที่อยู่ในขั้นมาตรฐาน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ตลาดพิพิธภัณฑ์ของไทยแข่งขันได้
ล่าสุดซีเอ็มโอ จากเดิมที่มีหน่วยธุรกิจรับงานด้านการจัดนิทรรศการทั้งงานนิทรรศการแบบถาวรประเภทพิพิธภัณฑ์และงานนิทรรศการแบบชั่วคราวอยู่แล้ว ได้มีการปรับกลยุทธ์โดยการรับบริหารและออกแบบพิพิธภัณฑ์แบบครบวงจรเพิ่มเข้ามาเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย และรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อไป
โดยปีนี้กลุ่มธุรกิจบริหารและออกแบบพิพิธภัณฑ์มีจำนวนงานทั้งหมด 11 งาน ทำรายได้อยู่ที่ 70 ล้านบาท ในปีหน้าวางเป้ารายได้ไว้ที่ 120 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีจำนวนงานเข้ามาแล้วกว่า 6 งาน มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท มองว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปกลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะมีอัตราการเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 12% หรือสร้างรายได้ให้บริษัทราว 10% ต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสี่นี้คาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอีเวนต์ยังไปได้ดีอยู่ จากกลุ่มยานยนต์, การสื่อสาร, การขยายตัวของแบรนด์ไทยสู่รีจีนัลแบรนด์ และศึกน้ำดำที่แข่งขันรุนแรง ทำให้มีการจัดงานอีเวนต์กันมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทเองยังมีงานอีเวนต์ที่เตรียมจะจัดอยู่อีกหลายงานเช่นกัน มั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันภาพรวมรายได้ของบริษัทในสิ้นปีนี้ปิดที่ 1,100 ล้านบาท เติบโต 15% ได้จาก 870 ล้านบาทในปีก่อน มาจากกลุ่มเช่าอุปกรณ์ 30% และออร์แกไนซ์ 70% โดยทิศทางการดำเนินงานด้านการจัดอีเวนต์จะมุ่งพัฒนาสร้างงานอีเวนต์แบบคงที่ต่อเนื่องจากเดิมมีอยู่ 30% เพื่อเป็น 50% ต่อไปให้ได้ เพื่อต้องการบาลานซ์รายได้ให้คงที่มากยิ่งขึ้น ส่วนปีหน้ามั่นใจว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,300 ล้านบาท