ซีเอ็มโอลุยต่างประเทศอย่างระวังหลังเจ็บตัวมาหลายครั้ง ล่าสุดศึกษาความเป็นไปได้เตรียมจ่อร่วมทุนบุกอินโดนีเซีย เมินเวียดนาม โฟกัสธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์จัดงานอีเวนต์ เหตุเป็นตัวสร้างรายได้เสถียรสุด มั่นใจสิ้นปีรายได้รวมทะลุ 1,000 ล้านบาท พร้อมกลับมามีกำไรอีกครั้ง
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีการเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น กัมพูชา รวมถึงเวียดนาม แต่ยอมรับไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นแผนการรุกตลาดต่างประเทศหลังจากนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งแผนการรุกตลาดต่างประเทศในครั้งนี้ก็เพื่อเข้าไปสร้างฐานรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ถือเป็นการป้องกันตัวเอง และรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ล่าสุดให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซียมากสุด เนื่องจากเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมาก เทียบเท่ากับกลุ่มประเทศ CLMV ที่ประกอบไปด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามรวมกัน อีกทั้งเป็นประเทศที่กำลังขยายตัวทางด้านการจัดงานอีเวนต์อย่างต่อเนื่องจากความต้องการของประชาชนกับกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค คาดว่าภายใน 3 เดือนนี้จะสามารถสรุปผลการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นในอินโดนีเซียได้ว่าจะเป็นรายใด ส่วนการเข้าไปรุกในอินโดนีเซียครั้งนี้จะไปแบบเต็มตัว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเวียดนามจะเป็นประเทศที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนมากที่สุดในระยะนี้ แต่ทางบริษัทมองว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันที่ทำให้ไม่มั่นใจต่อการเข้าไปลงทุน อีกทั้งขณะนี้ก็มีบริษัทด้านอีเวนต์ไทยเข้าไปรุกประเทศนี้แล้ว บวกกับการแข่งขันสูง จึงไม่มีความสนใจที่จะเข้าไปทำตลาดในประเทศนี้
นายเสริมคุณกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัท พบว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมาเติบโตกว่า 200% สืบเนื่องจากลูกค้าอั้นมาใช้เงินมากขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วม รวมถึงงานที่ชะลอไปช่วงน้ำท่วมขยับมาจัดในช่วงนี้ บวกกับรายได้หลักจากกลุ่มอุปกรณ์ให้เช่าค่อนข้างดีต่อเนื่อง ทำให้มองว่าแนวโน้มรายได้ทั้งปีของปีนี้น่าจะทำได้เกิน 1,000 ล้านบาท พร้อมกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง ซึ่งกว่า 5% ของรายได้มาจากต่างประเทศ
โดยแผนการดำเนินธุรกิจปีนี้จะให้ความสำคัญในส่วนของธุรกิจอุปกรณ์ให้เช่ามากขึ้น เพราะถือเป็นกลุ่มหลักที่สร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 20% เทียบกับรายได้รวมทั้งหมด รวมทั้งรายได้จากงานประจำที่มีกว่า 8 ราย จะให้ความสำคัญเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น จากปัจจุบันรายได้จากลูกค้าหลักอยู่ที่ 25% เทียบรายได้รวมทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องไปกับนโยบายการเติบโตใน 3 ปีหลังจากนี้ที่จะต้องมีรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นต่างประเทศ 20% และในประเทศ 80%