ไอ.ซี.ซี.ควงกลยุทธ์ผุดสเปเชียลตี้ 9 กลุ่มรับคอมมูนิตีมอลล์ขยายตัว ไลฟ์สไตล์การชอปปิ้งคนไทยเปลี่ยน จ่ออีก 5 ปีทุ่มกว่า 1,000 ล้านบาทเปิดครบ 300 แห่ง ลั่นกลองบุกเออีซีรุกพม่า ลาว กัมพูชา ชูศักยภาพด้านการผลิตไม่หวั่นการแข่งขันเดือด
นายไพโรจน์ หิรัญวงศ์สว่าง กรรมการบริหาร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการขาย NR บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า กลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับการขยายตัวของคอมมูนิตีมอลล์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเปิดโมเดลธุรกิจแยกกลุ่มสินค้าแฟชั่นเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หรือเป็นร้านค้าสเปเชียลตี้ โดยมีทั้งหมด 8 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มเสื้อชั้นใน 2. Mother&Child 3. ฮีสแอนด์เฮอร์ 4. สปอร์ตชอป 5. สำหรับกลุ่มวัยรุ่น และ 6. เครื่องหนังและรองเท้า เป็นต้น
ทั้งนี้ ร้านค้าสเปเชียลตี้บริษัทเปิดในรูปแบบชอปทั้งหมด จากก่อนหน้านี้การขยายสาขาของกลุ่มสินค้าของบริษัทจะเน้นเปิดเคาน์เตอร์ตามห้างสรรพสินค้า แต่หลังจากที่คอมมูนิตีมอลล์ขยายตัวทำให้บริษัทได้ทดลองเปิดชอปและแบ่งแยกกลุ่มสินค้าแต่ละประเภทเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นมาร่วม 2 ปี มีจำนวนทั้งหมด 130 สาขา และคาดว่าอีก 5 ปีจะขยายให้ครบเป็น 300 สาขา หรือเปิดเพิ่มอีก 170 สาขาภายใต้การใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท หรือโดยเฉลี่ย 6 ล้านบาทต่อสาขา
นอกจากนี้ บริษัทกำลังจะพิจารณาเปิดร้านค้าสเปเชียลตี้เพิ่มอีก 1 กลุ่ม คือ บิวตี้ชอปในปีหน้า ทั้งนี้ การขยายชอปในลักษณะดังกล่าวเพื่อรองรับเทรนด์สเปเชียลตี้ของร้านค้าที่กำลังมาแรง รวมทั้งไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจคอมมูนิตีมอลล์ ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวร้านค้า 6 ชอปที่โครงการเดอะ เวเนเซีย หัวหิน เช่น ชอปสินค้ากลุ่มผู้ชาย ชอปสินค้ากลุ่มผู้หญิง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม โมเดลธุรกิจเปิดร้านค้าสเปเชียลตี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยสามารถสร้างรายได้สัดส่วน 5% ของรายได้รวมทั้งหมด
นายไพโรจน์กล่าวถึงการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในอาเซียน ได้แก่ ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ซึ่งรูปแบบการเปิดจะเน้นเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก การขยายในรูปแบบร้านค้าสเปเชียลตี้ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการแข่งขันหลังจากเปิดเออีซีบริษัทมั่นใจจะรับมือได้ทุกรูปแบบ เนื่องจากมีศักยภาพด้านการผลิต จากการที่บริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
นายไพโรจน์ หิรัญวงศ์สว่าง กรรมการบริหาร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการขาย NR บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า กลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับการขยายตัวของคอมมูนิตีมอลล์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเปิดโมเดลธุรกิจแยกกลุ่มสินค้าแฟชั่นเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หรือเป็นร้านค้าสเปเชียลตี้ โดยมีทั้งหมด 8 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มเสื้อชั้นใน 2. Mother&Child 3. ฮีสแอนด์เฮอร์ 4. สปอร์ตชอป 5. สำหรับกลุ่มวัยรุ่น และ 6. เครื่องหนังและรองเท้า เป็นต้น
ทั้งนี้ ร้านค้าสเปเชียลตี้บริษัทเปิดในรูปแบบชอปทั้งหมด จากก่อนหน้านี้การขยายสาขาของกลุ่มสินค้าของบริษัทจะเน้นเปิดเคาน์เตอร์ตามห้างสรรพสินค้า แต่หลังจากที่คอมมูนิตีมอลล์ขยายตัวทำให้บริษัทได้ทดลองเปิดชอปและแบ่งแยกกลุ่มสินค้าแต่ละประเภทเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นมาร่วม 2 ปี มีจำนวนทั้งหมด 130 สาขา และคาดว่าอีก 5 ปีจะขยายให้ครบเป็น 300 สาขา หรือเปิดเพิ่มอีก 170 สาขาภายใต้การใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท หรือโดยเฉลี่ย 6 ล้านบาทต่อสาขา
นอกจากนี้ บริษัทกำลังจะพิจารณาเปิดร้านค้าสเปเชียลตี้เพิ่มอีก 1 กลุ่ม คือ บิวตี้ชอปในปีหน้า ทั้งนี้ การขยายชอปในลักษณะดังกล่าวเพื่อรองรับเทรนด์สเปเชียลตี้ของร้านค้าที่กำลังมาแรง รวมทั้งไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจคอมมูนิตีมอลล์ ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวร้านค้า 6 ชอปที่โครงการเดอะ เวเนเซีย หัวหิน เช่น ชอปสินค้ากลุ่มผู้ชาย ชอปสินค้ากลุ่มผู้หญิง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม โมเดลธุรกิจเปิดร้านค้าสเปเชียลตี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยสามารถสร้างรายได้สัดส่วน 5% ของรายได้รวมทั้งหมด
นายไพโรจน์กล่าวถึงการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในอาเซียน ได้แก่ ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ซึ่งรูปแบบการเปิดจะเน้นเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก การขยายในรูปแบบร้านค้าสเปเชียลตี้ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการแข่งขันหลังจากเปิดเออีซีบริษัทมั่นใจจะรับมือได้ทุกรูปแบบ เนื่องจากมีศักยภาพด้านการผลิต จากการที่บริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
