กิฟฟารีนเดินหมากลุยอาเซียนเต็มตัว ลงทุน 100% สร้างศูนย์ธุรกิจในลาวประเทศแรก ปูทางสู่ประเทศอื่นๆ มองใน 3 ปีรายได้ต่างประเทศเติบโตขึ้นเท่าตัว หวังผลักดันรายได้ทั้งปีโต 10% ทะลุ 6,000 ล้านบาทตามเป้า หลังครึ่งปีแรกไปได้ดีโตที่ 7%
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า กิฟฟารีนได้วางแผนทั้งการรับมือและการรุกตลาดในประเทศต่างๆ ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี แต่จะไม่รีบเร่งบุกตลาดต่างประเทศมากนัก เพราะต้องศึกษาตลาด วัฒนธรรม และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึงกฎหมายในแต่ละประเทศให้ดีก่อนเพื่อให้เข้าใจถึงสภาพตลาดแต่ละประเทศ รวมถึงรูปแบบการลงทุน แต่ทั้งนี้จะไม่มีนโยบายการร่วมทุนแน่นอน เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
ที่ผ่านมาการทำตลาดต่างประเทศจะเป็นในลักษณะของการขายไลเซนส์มากกว่า ทั้งในกัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่จะเริ่มในช่วงปลายปีนี้ ล่าสุดบริษัททุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาทก่อตั้งศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีน ลาว ในประเทศลาว เป็นการลงทุนเอง 100% และจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ส.ค. นี้ ถือเป็นการทดลองทำตลาดต่างประเทศอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของระบบและลอจิสติกส์ต่างๆ ก่อนที่จะเข้าไปทำตลาดในประเทศอื่นๆ ต่อไป ขณะที่รายได้จากตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันทำได้ที่ 200-300 ล้านบาทต่อปี โดยนอกจากการขายไลเซนส์ให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนแล้ว ยังมีแบรนด์แพททิน่า ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สปาจำหน่ายไปยังประเทศในฝั่งยุโรปด้วย คาดว่าภายใน 2-3 ปีหลังจากนี้รายได้จากต่างประเทศจะขยับเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างน้อยเท่าตัว
“การเข้าไปทำตลาดลาวเองนั้น เพราะพบว่าตลาดมีความต้องการในสินค้าของกิฟฟารีนค่อนข้างสูง จากที่ผ่านมามีการลักลอบนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในลาวค่อนข้างมาก แม้ว่าการเข้าไปทำตลาดในลาวนั้นจะค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของภาษีต่างๆ ที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนก็ตาม ทำให้สินค้าที่จำหน่ายราคาสูงกว่าในไทยค่อนข้างมาก แต่ทั้งนี้มองว่าในช่วง 1-2 เดือนแรกน่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 2-5 ล้านบาทได้”
สำหรับตลาดในประเทศนั้น มองว่าภาพรวมกำลังซื้อยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็ม 100% โดยครึ่งปีหลังก็อาจจะมีความกังวลในเรื่องของน้ำท่วมอยู่ หากจะเกิดน้ำท่วมก็อาจจะไม่ร้ายแรงและเกิดในบางพื้นที่เท่านั้น แต่ก็ได้วางแผนรับมือไว้บ้างแล้ว เช่นมีการผลิตสินค้ากักตุนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยตอนนี้มีสินค้าเพียงพอไปจนถึงเดือน ต.ค.แล้ว และกำลังเริ่มผลิตในส่วนของเดือน พ.ย.-ธ.ค.ต่อทันที
ตลอดทั้งปีนี้กิฟฟารีนน่าจะยังรักษาอัตราการเติบโตไว้ที่ 10% ได้ หรือมีรายได้รวมกว่า 5,800-6,000 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกเติบโตเพียง 7% ถือว่าใช้ได้ในสถานการณ์ที่ 2-3 เดือนแรกตั้งแต่ต้นปีที่มีสินค้าขาดตลาด เพราะโรงงานที่นวนครประสบภัยน้ำท่วม และปัญหาดังกล่าวก็ได้รับการแก้ไขและกลับมาผลิตได้ 100% เรียบร้อยแล้ว
ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทพร้อมใช้งบการตลาดกว่า 70 ล้านบาทจาก 100 ล้านบาทที่ใช้ในปีนี้ เพื่อทำตลาดการเปิดตัวสินค้าใหม่ ขณะเดียวกัน ยังได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาทสำหรับการปรับปรุงระบบไอทีตลอดปี 55-56 เพื่อช่วยให้ผู้ดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า กิฟฟารีนได้วางแผนทั้งการรับมือและการรุกตลาดในประเทศต่างๆ ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี แต่จะไม่รีบเร่งบุกตลาดต่างประเทศมากนัก เพราะต้องศึกษาตลาด วัฒนธรรม และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึงกฎหมายในแต่ละประเทศให้ดีก่อนเพื่อให้เข้าใจถึงสภาพตลาดแต่ละประเทศ รวมถึงรูปแบบการลงทุน แต่ทั้งนี้จะไม่มีนโยบายการร่วมทุนแน่นอน เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
ที่ผ่านมาการทำตลาดต่างประเทศจะเป็นในลักษณะของการขายไลเซนส์มากกว่า ทั้งในกัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่จะเริ่มในช่วงปลายปีนี้ ล่าสุดบริษัททุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาทก่อตั้งศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีน ลาว ในประเทศลาว เป็นการลงทุนเอง 100% และจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ส.ค. นี้ ถือเป็นการทดลองทำตลาดต่างประเทศอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของระบบและลอจิสติกส์ต่างๆ ก่อนที่จะเข้าไปทำตลาดในประเทศอื่นๆ ต่อไป ขณะที่รายได้จากตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันทำได้ที่ 200-300 ล้านบาทต่อปี โดยนอกจากการขายไลเซนส์ให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนแล้ว ยังมีแบรนด์แพททิน่า ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สปาจำหน่ายไปยังประเทศในฝั่งยุโรปด้วย คาดว่าภายใน 2-3 ปีหลังจากนี้รายได้จากต่างประเทศจะขยับเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างน้อยเท่าตัว
“การเข้าไปทำตลาดลาวเองนั้น เพราะพบว่าตลาดมีความต้องการในสินค้าของกิฟฟารีนค่อนข้างสูง จากที่ผ่านมามีการลักลอบนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในลาวค่อนข้างมาก แม้ว่าการเข้าไปทำตลาดในลาวนั้นจะค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของภาษีต่างๆ ที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนก็ตาม ทำให้สินค้าที่จำหน่ายราคาสูงกว่าในไทยค่อนข้างมาก แต่ทั้งนี้มองว่าในช่วง 1-2 เดือนแรกน่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 2-5 ล้านบาทได้”
สำหรับตลาดในประเทศนั้น มองว่าภาพรวมกำลังซื้อยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็ม 100% โดยครึ่งปีหลังก็อาจจะมีความกังวลในเรื่องของน้ำท่วมอยู่ หากจะเกิดน้ำท่วมก็อาจจะไม่ร้ายแรงและเกิดในบางพื้นที่เท่านั้น แต่ก็ได้วางแผนรับมือไว้บ้างแล้ว เช่นมีการผลิตสินค้ากักตุนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยตอนนี้มีสินค้าเพียงพอไปจนถึงเดือน ต.ค.แล้ว และกำลังเริ่มผลิตในส่วนของเดือน พ.ย.-ธ.ค.ต่อทันที
ตลอดทั้งปีนี้กิฟฟารีนน่าจะยังรักษาอัตราการเติบโตไว้ที่ 10% ได้ หรือมีรายได้รวมกว่า 5,800-6,000 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกเติบโตเพียง 7% ถือว่าใช้ได้ในสถานการณ์ที่ 2-3 เดือนแรกตั้งแต่ต้นปีที่มีสินค้าขาดตลาด เพราะโรงงานที่นวนครประสบภัยน้ำท่วม และปัญหาดังกล่าวก็ได้รับการแก้ไขและกลับมาผลิตได้ 100% เรียบร้อยแล้ว
ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทพร้อมใช้งบการตลาดกว่า 70 ล้านบาทจาก 100 ล้านบาทที่ใช้ในปีนี้ เพื่อทำตลาดการเปิดตัวสินค้าใหม่ ขณะเดียวกัน ยังได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาทสำหรับการปรับปรุงระบบไอทีตลอดปี 55-56 เพื่อช่วยให้ผู้ดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น