ปิดฉาก “ดีเอชซี” อำลาเมืองไทยแล้ว หลังญี่ปุ่นตัดสินใจแน่นอน เผยตลาดแข่งดุ สินค้าเมกอัพเกาหลีตีตลาด นโยบายรัฐบาลไม่แน่นอน เร่งระบายสต๊อก
แหล่งข่าวจากวงการตลาดเครื่องสำอางเปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทแม่ของบริษัท ดีเอชซี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ตัดสินใจที่จะหยุดดำเนินธุรกิจในไทยอย่างแน่นอนแล้วโดยจะมีผลเป็นทางการในวันที่ 19 สิงหาคม 2555 โดยได้แจ้งไปยังสมาชิกผ่านทางจดหมายข่าวฉบับเดือนสิงหาคมนี้สรุปเหตุผลว่า เป็นเพราะตลาดเครื่องสำอางในไทยเล็กเกินไป แต่ทั้งนี้บริษัทฯ ก็จะรับผิดชอบพนักงานทุกคนตามกฎหมายกำหนด
บริษัทดีเอชซี มีนางสาวทรรศนีย์ รัตนเรืองไร เป็นประธานบริษัท และเป็นผู้ประสานงานติดต่อเจรจากับบริษัทแม่ตั้งแต่แรก และยังมีนางสาวอาภรณ์ ทรัพย์มนต์ชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่ร่วมงานมาตั้งแต่แรกเริ่มกิจการในไทยเช่นกัน
“เมื่อช่วงต้นปีนี้บริษัทเพิ่งจะมีการเลี้ยงฉลองครบรอบกิจการในไทยปีที่ 7 เอง และผู้บริหารก็ยังประกาศว่าจะรุกตลาดในไทยต่อไป และมีการขยายไลน์สินค้าเพิ่มขึ้นใหม่ๆ ต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็ต้องประกาศหยุดดำเนินการ”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักที่บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นตัดสินใจดังกล่าวเนื่องมาจากว่าทางญี่ปุ่นได้พิจารณาแล้วว่าตลาดเมืองไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะเครื่องสำอางจากเกาหลีที่มีราคาต่ำกว่าและมีการเติบโตอย่างมากในเวลานี้ รวมทั้งยังมีแบรนด์จากยุโรปและอเมริกาเข้ามาทำตลาดต่อเนื่อง
นอกจากนั้นแล้วยังเป็นเรื่องเศรษฐกิจของไทยและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเองที่ไม่แน่นอน รวมทั้งปัญหาการเมืองที่ไม่สงบ ราคาน้ำมันที่ผันผวน นโยบายค่าแรง 300บาทต่อวัน และ 15,000 บาทต่อเดือนสำหรับปริญญาตรี ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ดีเอชซียังเป็นผู้ประกอบการเครื่องสำอางสกินแคร์รายแรกที่เข้ามารุกตลาดในไทยด้วยระบบดีลิเวอรี เบอร์ 0-2353-6333 ทำให้สามารถขยายตลาดในต่างจังหวัดและทั่วไปได้อย่างทั่วถึง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าร้านมากนัก แต่เมื่อช่วงหลังที่ค้าปลีกรายใหญ่ขยายการลงทุนไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ทำให้เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์รวมทั้งแบรนด์จากเกาหลีที่เข้ามามากได้มีโอกาสขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดได้มากขึ้นด้วย ผู้บริโภคจึงมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น จึงอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ถูกแย่งตลาดไปส่วนหนึ่งด้วย
“ที่หนักที่สุดคือ เมื่อช่วงต้นปีนี้ที่มีเหตุการณ์ระเบิดอย่างรุนแรงที่อาคารลีการ์เด้น หาดใหญ่ ที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมาก ซึ่งก็มีร้านของดีเอชซีเปิดบริการอยู่ในอาคารดังกล่าวด้วยได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้ผู้บริหารญี่ปุ่นรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ดังกล่วว่าทำไมถึงมีความรุนแรงเช่นนี้ แม้ว่าปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงปลายปีที่ผ่านมา ดีเอชซีจะได้รับผลกระะทบด้วยเช่นกัน เพราะการคมนาคมมีปัญหาทำให้ส่งสินค้าให้กับลูกค้าไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ส่งผลรุนแรงเท่ากับเหตุการณ์ระเบิดความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ครั้งนั้น”
ทั้งนี้ ดีเอชซีได้พิมพ์นิตยสารโอลีฟคลับต้นฉบับสุดท้ายคือเดือนกรกฎาคม ส่วนเดือนสิงหาคมนี้หยุดพิมพ์ไปแล้ว และได้จัดรายการเซลเพื่อลดราคาและระบายสต๊อกสินค้าให้หมด ชื่อแคมเปญ “ดีเอชซี ซาโยนะระ เซล” เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม-19 สิงหาคมนี้ ทุกสาขา ด้วยส่วนลดสูงสุด 80% ซึ่งปรากฏว่ามีลูกค้าที่ทั้งเป็นขาจรและที่เป็นสมาชิกแห่มาเข้าคิวซื้อสินค้ากันเนืองแน่น ซึ่งปัจจุบันดีเอชซีมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 50,000 ราย ปัจจุบันดีเอชซีมีสาขาในไทยทั้งหมด 22 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 9 สาขา และต่างจังหวัด 13 สาขา โดยมีสาขาที่เป็นชอปขนาดใหญ่ เช่น สยามพารากอน แฟชั่นไอส์แลนด์ เซ็นทรัลเชียงใหม่ นอกนั้นเป็นเคาน์เตอร์ และคีออสก์
สินค้าของดีเอชซี จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ สกินแคร์ เมกอัพ สินค้าเพื่อสุขภาพ และอาหารเสริม โดยสัดส่วนยอดขายหลักมาจากสกินแคร์ ชึ่งยอดขายกว่า 60% จะมาจากดีลิเวอรี ส่วนอีก 40% มาจากหน้าร้าน