บิวตี้ คอมมูนิตี้ เตรียมไอพีโอ 82.5 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายสาขา คลังสินค้า วางระบบรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โชว์จุดเด่นธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องสำอาง “BEAUTY BUFFET” “BEAUTY COTTAGE” และผลิตภัณฑ์ “MADE IN NATURE” ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม กำไรโตต่อเนื่อง แต่งตั้งฟิลลิป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คาดพร้อมเข้า SET ไตรมาส 4 ปีนี้ มั่นใจธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องหลังระดมทุน
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามประเภทเครื่องสำอาง และบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 82.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 80 ล้านหุ้น และเสนอขายผู้บริหาร พนักงาน จำนวน 2.5 ล้านหุ้น และนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท
โดยวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้สำหรับการขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE เพื่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งปรับปรุงระบบการดำเนินงานภายใน เช่น ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน การขยายคลังสินค้า และเพื่อนำไปใช้ในการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงต่อจากนี้ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งบริษัทได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
“ปัจจุบัน บริษัทถือเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ โดยร้านค้าปลีกเครื่องสำอางภายใต้การบริหารของบริษัท ประกอบด้วย BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ซึ่งมีสาขารวมกันประมาณ 150 แห่ง อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แบรนด์ MADE IN NATURE จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) ซึ่งแต่ละแบรนด์ภายใต้การบริหารของบริษัทจะมีความแตกต่าง ทั้งในส่วนของรูปแบบผลิตภัณฑ์ ช่องทางการขาย และตำแหน่งทางการตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน และเป็นการสร้างฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกระดับด้วยเช่นกัน” นายแพทย์สุวินกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของ BEAUTY ในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการขยายสาขาในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้ใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 53 มีรายได้รวม 504.10 ล้านบาท ปี 54 มีรายได้รวม 615.31 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 22.06% ขณะที่งวด 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 361.94 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 21.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 297.3 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทในปี 53 อยู่ที่ 101.90 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 20.22% ปี 54 อยู่ที่ 134.22 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 21.81% และงวด 6 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 85.13 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 23.52% โดยสาเหตุที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปิดตัว และขยายตัวอย่างรวดเร็วของร้าน BEAUTY COTTAGE ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดี
บริษัทมีแผนขยายตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของตลาดในประเทศจะเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กว้างขวางครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศบริษัทได้เริ่มทำตลาดในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเปิดตัวร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ เป็นครั้งแรกในประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ และจุดจำหน่าย เมด อิน เนเจอร์ ที่จัดจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดให้มากขึ้น
นายแพทย์สุวินให้ความเห็นเกี่ยวกับเป้าการเติบโตของบริษัทว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 BEAUTY เติบโตจากช่วงนี้เดียวกันของปีก่อน 22% ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าเป้าการเติบโตของปี 2555 จะไม่ต่ำกว่า 20% นอกจากนี้ BEAUTY จะนำเงินที่ระดมทุนได้มาใช้ในการขยายสาขา ซึ่งในปี 56 ตั้งเป้าสาขาทั่วประเทศของ BEAUTY BUFFET จำนวน 180 สาขา จากปัจจุบัน 127 สาขา และ BEAUTY COTTAGE จำนวน 50 สาขา จากปัจจุบัน 24 สาขา”
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการรอพิจารณาจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยคาดว่า จะสามารถเสนอขายหุ้นไอพีโอ และเข้าจดทะเบียนใน ตลท.ได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2555
“จากที่ได้ร่วมงานกับ BEAUTY มาระยะหนึ่ง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ธุรกิจของบริษัทถือว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสดใส เพราะในปัจจุบัน อัตราบริโภคเครื่องสำอางต่อคนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นหนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับความนิยมสำหรับการดำรงชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่ต้องการเสริมสร้างบุคลิกภาพ และต้องการถนอมรักษาผิวพรรณให้ดูดีอยู่เสมอ จึงทำให้มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสให้บริษัทสามารถขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยเช่นกัน”นายวิชากล่าว
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามประเภทเครื่องสำอาง และบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 82.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 80 ล้านหุ้น และเสนอขายผู้บริหาร พนักงาน จำนวน 2.5 ล้านหุ้น และนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท
โดยวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้สำหรับการขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE เพื่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งปรับปรุงระบบการดำเนินงานภายใน เช่น ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน การขยายคลังสินค้า และเพื่อนำไปใช้ในการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงต่อจากนี้ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งบริษัทได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
“ปัจจุบัน บริษัทถือเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ โดยร้านค้าปลีกเครื่องสำอางภายใต้การบริหารของบริษัท ประกอบด้วย BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ซึ่งมีสาขารวมกันประมาณ 150 แห่ง อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แบรนด์ MADE IN NATURE จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) ซึ่งแต่ละแบรนด์ภายใต้การบริหารของบริษัทจะมีความแตกต่าง ทั้งในส่วนของรูปแบบผลิตภัณฑ์ ช่องทางการขาย และตำแหน่งทางการตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน และเป็นการสร้างฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกระดับด้วยเช่นกัน” นายแพทย์สุวินกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของ BEAUTY ในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการขยายสาขาในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้ใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 53 มีรายได้รวม 504.10 ล้านบาท ปี 54 มีรายได้รวม 615.31 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 22.06% ขณะที่งวด 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 361.94 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 21.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 297.3 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทในปี 53 อยู่ที่ 101.90 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 20.22% ปี 54 อยู่ที่ 134.22 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 21.81% และงวด 6 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 85.13 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 23.52% โดยสาเหตุที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปิดตัว และขยายตัวอย่างรวดเร็วของร้าน BEAUTY COTTAGE ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดี
บริษัทมีแผนขยายตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของตลาดในประเทศจะเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กว้างขวางครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศบริษัทได้เริ่มทำตลาดในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเปิดตัวร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ เป็นครั้งแรกในประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ และจุดจำหน่าย เมด อิน เนเจอร์ ที่จัดจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดให้มากขึ้น
นายแพทย์สุวินให้ความเห็นเกี่ยวกับเป้าการเติบโตของบริษัทว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 BEAUTY เติบโตจากช่วงนี้เดียวกันของปีก่อน 22% ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าเป้าการเติบโตของปี 2555 จะไม่ต่ำกว่า 20% นอกจากนี้ BEAUTY จะนำเงินที่ระดมทุนได้มาใช้ในการขยายสาขา ซึ่งในปี 56 ตั้งเป้าสาขาทั่วประเทศของ BEAUTY BUFFET จำนวน 180 สาขา จากปัจจุบัน 127 สาขา และ BEAUTY COTTAGE จำนวน 50 สาขา จากปัจจุบัน 24 สาขา”
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการรอพิจารณาจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยคาดว่า จะสามารถเสนอขายหุ้นไอพีโอ และเข้าจดทะเบียนใน ตลท.ได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2555
“จากที่ได้ร่วมงานกับ BEAUTY มาระยะหนึ่ง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ธุรกิจของบริษัทถือว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสดใส เพราะในปัจจุบัน อัตราบริโภคเครื่องสำอางต่อคนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นหนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับความนิยมสำหรับการดำรงชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่ต้องการเสริมสร้างบุคลิกภาพ และต้องการถนอมรักษาผิวพรรณให้ดูดีอยู่เสมอ จึงทำให้มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสให้บริษัทสามารถขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยเช่นกัน”นายวิชากล่าว