เสี่ยบุณยสิทธิ์ชี้พิษการเมืองไทยไม่นิ่ง ทำลายบรรยากาศต่างชาติแห่ลงทุนรับเออีซีในไทย ไทยน่าลงทุนรั้งอันดับ 4 สูญเสียตำแหน่งแชมป์เมื่อ 2-3 ปี อินโดนีเซียน่ากลัวสุดบนเวทีอาเซียน โอดสองปัจจัยลบการเมืองไทย-แรงงานขาดแคลน เครือสหพัฒน์จ่อลงทุน 4 ประเทศ สิ้นปีนี้รายได้โต 10% ดึงคนรุ่นใหม่บริหารรับเออีซี
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ผลจากการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า ทำให้ทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา จีน หรือญี่ปุ่น ต่างมองว่าต้องเข้ามาลงทุนในอาเซียน ซึ่งพบว่าประเทศที่น่าจะลงทุนมากที่สุด คือ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย และไทยตกลงมาอันดับ 4 เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
หลังจากก่อนหน้านี้ไทยเคยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด สาเหตุเพราะการเมืองไทยขาดเสถียรภาพ
ส่วนเหตุผลที่นักลงทุนให้ความสำคัญต่อไทย เพราะว่าเป็นประเทศที่มีจุดแข็งทางด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานดี และนักธุรกิจเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สามารถเจรจาต่อรองทางธุรกิจร่วมกันได้
“ประเทศในอาเซียนที่ในอนาคตจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว คือ อินโดนีเซีย เพราะมีประชากรมากกว่าไทยและมีทรัพยากรธรรมชาติที่ดี แค่เสียเปรียบตรงที่มีภัยธรรมชาติ อย่างแผ่นดินไหว และภูมิประเทศเป็นเกาะ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้า ส่วนพม่า เชื่อว่าไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าจะแซงประเทศไทย หากไม่ติดเรื่องปัญหาการเมือง
เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ประชากรใกล้เคียงกับไทยแต่มีความขยันมากกว่า”
ปัจจัยที่ต้องกังวล คือ สภาพการเมืองไทยเปรียบเสมือนยุคก่อนขงจื๊อ การเมืองไม่ใช่การเมือง พรรคไม่ใช่พรรค ซึ่งต้องใช้หลักความปรองดอง เอาหลักปรัชญาของขงจื๊อมาปรับใช้ โดยให้คะแนนการเมืองไทย 5 เต็ม 10 ส่วนการบริหารประเทศของรัฐบาลให้คะแนน 8 เต็ม 10 เนื่องจากรัฐบาลดำเนินนโยบาย 2 อ่อนได้เป็นอย่างดี คือ อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้สูงมากนัก และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมเคยอยู่ที่ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ปัญหาแรงงานไทยขาดแคลนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่ากังวล เพราะโรงงานในไทยเริ่มขาดแคลนแรงงานมานาน 2-3 ปี เนื่องจากรายได้ทางเกษตรกรดีกว่าและค่าครองชีพในต่างจังหวัดถูกกว่ากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ประกอบการต้องปรับตัว โดยหันมาใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน หากไม่ปรับตัวอุตสาหกรรมไทยจะลำบาก
เดิมทีญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยเพราะค่าแรงงานถูก แต่ขณะนี้การลงทุนปรับมาเป็นเพื่อต้องการนำสินค้ามาขายในประเทศแทน สำหรับเครือสหพัฒน์ประสบกับภาวะขาดแคลนแรงงานไทยมา 2 ปีแล้ว และมีนโยบายลดการใช้แรงงานคนมาเป็นเครื่องจักรแทน จากเดิมใช้ 4-5 คนมาเป็นเหลือ 1-3 คน
อนาคตของประเทศไทยยังดีมาก สดใส อารมณ์การจับจ่ายใช้สอยอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่น่าจะดีกว่านี้หากไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองมากระทบ ส่วนกำลังการซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง คนไทยมีอำนาจการซื้อดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับค่าจ้างแรงงานขึ้นเป็น 300 บาท แม้ว่าราคาสินค้าจะปรับขึ้นก็ตาม ส่งผลให้อัตราภาวะเงินเฟ้อของประเทศอยู่เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น ถือว่าอยู่ในอัตราที่ดี
ส่วนด้านการขึ้นราคาสินค้าภาครัฐต้องทยอยขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก็จะทำให้คนไทยคุ้นเคยกับราคาสินค้าได้ แต่ถ้าเป็นแบบเวียดนาม เงินเฟ้อขึ้น 10% ถือว่าอันตราย ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจจากยุโรปและอเมริกาส่งผลกระทบต่อประเทศไทยบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง โดยผู้ประกอบการนำประสบการณ์ที่เคยประสบมาปรับใช้
นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า เครือสหพัฒน์ไม่ได้ส่งออกไปยุโรปและอเมริกามากนัก จากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้หันมามุ่งเน้นขยายตลาดอาเซียน สำหรับประเทศที่บริษัทสนใจจะเข้าไปลงทุน คือ พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างศึกษาเข้าไปลงทุนในประเทศพม่าในรูปแบบคลัสเตอร์ อยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตรกับประเทศพม่า ส่วนกลุ่มอาหารเหมาะกับการเป็นธุรกิจเข้าไปตั้งโรงงาน เพราะประเทศไทยมีความเป็นผู้นำด้านอาหารในอาเซียน อาทิ การทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
สำหรับปีนี้บริษัทเน้นการลงทุนในประเทศ แต่ละปีใช้งบ 1,000 ล้านบาท แต่หากเครือมีแผนลงทุนต่างประเทศก็จะชะลอแผนการลงทุนในประเทศ ในปีนี้บริษัทไม่มีแผนจะปรับราคาสินค้าขึ้น สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกกลุ่มอาหารเติบโตดี เช่น มาม่า ฟาร์มเฮ้าส์ ส่วนกลุ่มรองเท้าไม่เติบโต สำหรับผลประกอบการปีนี้ทั้งเครือสหพัฒน์ตั้งเป้ามีรายได้โต 10%
****ดึงผู้บริหารรุ่นใหม่รับเออีซี
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวว่า นโยบายของบริษัทวางแผนขยายตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่ม 15-20% ในช่วง 1-2 ปีนี้ ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “สหพัฒน์เอสพีซี นีโอ-เจเนอเรชัน โปรเจกต์ 2012” คัดเลือกผู้บริหารรุ่นใหม่จำนวน 5 คนเข้ามาบริหารงานระหว่างประเทศให้บริษัท ระหว่างวันที่ 9-14 ก.ค.นี้ ซึ่งขณะนี้คัดจาก 400 คน เหลือ 22 คน เพื่อเข้ามาบริหารงานรับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
นอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้างภายในด้านอื่นๆ เพื่อให้ทันสมัย เพราะสหพัฒน์มีอายุครบ 70 ปี โดยพนักงานของบริษัทอายุโดยเฉลี่ย 32-33 ปี
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ต้องระวังปัจจัยด้านการเมืองและภัยพิบัติน้ำท่วมว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนกำลังการซื้อของผู้บริโภคมองว่าไม่ดีมากนัก เพราะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ส่วนกรณีการจำนำราคาข้าวซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสทางการแข่งขันด้านการส่งออก โดยอินเดียขึ้นมาเป็นผู้นำส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกแทนที่ประเทศไทย ส่วนด้านราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนหน้านี้จะปรับขึ้นไตรมาส 3 แต่ขณะนี้ไม่มีแผนจะปรับราคาขึ้น
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่ 28,888 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกโต 15% แต่ล่าสุดโตถึง 18% ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้ามีรายได้ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ส่งออก 3,000 ล้านบาท