“ธีร์โฮลดิ้งส์” รุกหนัก ทุ่มงบรวม 200 ล้านบาทรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ 2 แบรนด์ “ซีเล็ค-ฟิชโช” หวังเพิ่มรายได้รวมเป็น 4,000 ล้านบาทในอีก 5 ปี
นายวิชัย เอี่ยมแสงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีร์โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดผลิตภัณฑ์ซีเล็คและฟิชโช เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะใช้งบ 200 ล้านบาทเพื่อทำการปรับโฉมและรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ ทั้งการเปลี่ยนโลโก้ แพกเกจจิ้ง ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 10 ปี
ทั้งนี้ เพื่อสร้างอิมเมจใหม่ และสะท้อนถึงความเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมีความเป็นสากลด้วย รวมทั้งการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ด้วย
โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องซีเล็คได้วางตลาดผลิตภัณฑ์ภายใต้โฉมใหม่ไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วนสินค้าเก่าที่ยังมีอยู่ในท้องตลาดก็จะวางขายไปจนหมด โดยจะมีทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โรดโชว์ การทำคุกกิ้งโชว์ต่อเนื่อง ซึ่งปลายเดือนนี้ก็จะมีแคมเปญออกมาด้วย
ตลาดปลากระป๋องในไทยยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเพราะอัตราการบริโภคของคนไทยยังน้อยมาก โดยตลาดรวมมีแบรนด์หลักๆ เช่น ซีเล็ค ทีซีบี นอติลุส เป็นต้น ซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ จะทยอยปรับโฉมในกลุ่มของปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรลด้วย ที่ปัจจุบันนี้ซีเล็คติดอันดับ 1 ใน 3 ของตลาดรวมกลุ่มซาร์ดีน แมคเคอเรล ขณะที่กำลังผลิตโดยรวมของซีเล็คนั้น มีเพียงพอที่จะรองรับการเปิดเออีซีด้วย
ปัจจุบันตลาดรวมปลากระป๋องมีมูลค่ามากกว่า 6,300 ล้านบาท ปี 2554 เติบโต 6% โดยส่วนของตลาดปลากระป๋องทูน่ามีมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท จากตลาดรวมปลากระป๋อง ซึ่งแบรนด์ซีเล็คมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 45% เป็นผู้นำตลาดปลากระป๋องทูน่า และคาดว่าภายในปีนี้ตลาดรวมในส่วนของปลาทูน่ากระป๋องจะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท ซึ่งซีเล็คจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 50% รักษาความเป็นผู้นำต่อเนื่อง และมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดปลาทูน่ากระป๋องอาเซียนด้วยภายใน 5 ปีจากนี้
ส่วนปลาเส้นแบรนด์ฟิชโชก็จะใช้งบ 100 ล้านบาททำการปรับโฉมใหญ่เช่นกัน โดยมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาด 1 ใน 5 หรือท็อปไฟว์ในตลาดให้ได้ภายใน 5 ปีจากนี้ จากปัจจุบันที่ฟิชโชอยู่ในอันดับที่ 3 ของตลาดปลาเส้น
สำหรับผลประกอบการปีที่แล้วของบริษัทมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้มาจากแบรนด์ซีเล็คทั้งกลุ่มทูน่า ซาร์ดีน แมคเคอเรล 60% แบรนด์ฟิชโชสัดส่วน 30% และกลุ่มอาหารสัตว์ 10% และคาดว่าปีนี้จากการรุกตลาดหนักจะมีรายได้รวมเป็น 2,400 ล้านบาท เติบโต 20% และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้รวมเป็น 4,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีจากนี้
นายวิชัย เอี่ยมแสงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีร์โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดผลิตภัณฑ์ซีเล็คและฟิชโช เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะใช้งบ 200 ล้านบาทเพื่อทำการปรับโฉมและรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ ทั้งการเปลี่ยนโลโก้ แพกเกจจิ้ง ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 10 ปี
ทั้งนี้ เพื่อสร้างอิมเมจใหม่ และสะท้อนถึงความเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมีความเป็นสากลด้วย รวมทั้งการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ด้วย
โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องซีเล็คได้วางตลาดผลิตภัณฑ์ภายใต้โฉมใหม่ไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วนสินค้าเก่าที่ยังมีอยู่ในท้องตลาดก็จะวางขายไปจนหมด โดยจะมีทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โรดโชว์ การทำคุกกิ้งโชว์ต่อเนื่อง ซึ่งปลายเดือนนี้ก็จะมีแคมเปญออกมาด้วย
ตลาดปลากระป๋องในไทยยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเพราะอัตราการบริโภคของคนไทยยังน้อยมาก โดยตลาดรวมมีแบรนด์หลักๆ เช่น ซีเล็ค ทีซีบี นอติลุส เป็นต้น ซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ จะทยอยปรับโฉมในกลุ่มของปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรลด้วย ที่ปัจจุบันนี้ซีเล็คติดอันดับ 1 ใน 3 ของตลาดรวมกลุ่มซาร์ดีน แมคเคอเรล ขณะที่กำลังผลิตโดยรวมของซีเล็คนั้น มีเพียงพอที่จะรองรับการเปิดเออีซีด้วย
ปัจจุบันตลาดรวมปลากระป๋องมีมูลค่ามากกว่า 6,300 ล้านบาท ปี 2554 เติบโต 6% โดยส่วนของตลาดปลากระป๋องทูน่ามีมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท จากตลาดรวมปลากระป๋อง ซึ่งแบรนด์ซีเล็คมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 45% เป็นผู้นำตลาดปลากระป๋องทูน่า และคาดว่าภายในปีนี้ตลาดรวมในส่วนของปลาทูน่ากระป๋องจะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท ซึ่งซีเล็คจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 50% รักษาความเป็นผู้นำต่อเนื่อง และมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดปลาทูน่ากระป๋องอาเซียนด้วยภายใน 5 ปีจากนี้
ส่วนปลาเส้นแบรนด์ฟิชโชก็จะใช้งบ 100 ล้านบาททำการปรับโฉมใหญ่เช่นกัน โดยมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาด 1 ใน 5 หรือท็อปไฟว์ในตลาดให้ได้ภายใน 5 ปีจากนี้ จากปัจจุบันที่ฟิชโชอยู่ในอันดับที่ 3 ของตลาดปลาเส้น
สำหรับผลประกอบการปีที่แล้วของบริษัทมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้มาจากแบรนด์ซีเล็คทั้งกลุ่มทูน่า ซาร์ดีน แมคเคอเรล 60% แบรนด์ฟิชโชสัดส่วน 30% และกลุ่มอาหารสัตว์ 10% และคาดว่าปีนี้จากการรุกตลาดหนักจะมีรายได้รวมเป็น 2,400 ล้านบาท เติบโต 20% และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้รวมเป็น 4,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีจากนี้
