xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อรับสร้างบ้านปี 55 โตกว่าปี 54 THCA ชี้ ตจว.ดันตลาดรวมโตชัดเจน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


- สมาคมไทยรับสร้างบ้านเผยผลวิจัยตลาด พบไตรมาสแรกโตเกินคาดหลังผู้ประกอบการอัดงบการตลาด-ขยายสาขาออกต่างจังหวัดกระตุ้นความต้องการ-กำลังซื้อลูกค้า แจงต้นทุนวัสดุฯ-ค่าก่อสร้างใหม่ดันต้นทุนบ้านพุ่ง ลูกค้าเร่งตัดสินใจสร้างบ้านหนีต้นทุนใหม่ เตือนระวังปัจจัยลบค่าแรงขั้นต่ำ ปัญหาแรงงานขาดแคลนกระทบต้นทุนบ้าน แนะรับสร้างบ้านปรับตัวรับทิศทางการเติบโต-กำลังซื้อตลาดภูมิภาค มั่นใจปี 55 ตลาดรวมโตกว่าปี 54 หลังแนวโน้มตลาดไตรมาสแรกขยายตัวสูงกว่าประมาณการ 

                นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Constructions Association: THCA) เปิดเผยว่า ปริมาณการสร้างบ้านและมูลค่าตลาดที่เติบโตในช่วงท้ายไตรมาสแรกของปี 55 ถือเป็นสัญญาณบวกและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องมาถึงไตรมาสสอง ซึ่งหากในปีนี้ไม่เกิดปัญหาภัยธรรมชาติหรือน้ำท่วมใหญ่ซ้ำ เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกน่าจะเติบโตกว่าปีที่แล้ว หรือเติบโตได้ใกล้เคียงกับปี 53 ทั้งนี้ สมาคมฯ มองว่าปริมาณและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ตลาดรวมเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจน 

             อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของกำลังซื้อในต่างจังหวัดหรือภูมิภาคให้มากขึ้น รวมทั้งหาทางรับมืออุปสรรคที่มีผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น ความน่าเชื่อถือขององค์กร ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ฯลฯ โดยเฉพาะบริษัทรับสร้างบ้านรายเล็กและรายกลางจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้เข้มแข็ง ซึ่งอาจใช้วิธีรวมตัวกันอย่างมีระบบระหว่างรายเล็กด้วยกันเอง หรือรวมตัวกับรายที่เข้มแข็งกว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นต้น
             ทั้งนี้ จากการสำรวจภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศไตรมาสแรก (เดือน ม.ค.-มี.ค. 2555) พบว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคขยายตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่ามีการขยายตัวมากกว่า 15-20% ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเติบโตเพียงเล็กน้อย

             นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการกระตุ้นกำลังซื้อผ่านกิจกรรมทางการตลาดและสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง กอปรกับแรงกดดันอันเกิดจากราคาบ้านที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นตามต้นทุนใหม่ ทำให้ผู้บริโภคที่มีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่อยู่ก่อนแล้วตัดสินใจเร็วขึ้น นับเป็นแรงกระตุ้นให้กำลังซื้อฟื้นตัวกลับมาเร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ จากสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนได้ว่าความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ทั่วประเทศในปีนี้มีทิศทางและแนวโน้มการเติบโตที่น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา 

             ทั้งนี้ สอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดปี 2555 โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 75% เชื่อว่ามีแนวโน้มเติบโตกว่าปีที่แล้ว จำนวน 17% เชื่อว่าเติบโตใกล้เคียงกับปีที่แล้ว อันดับสุดท้ายผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 8% เชื่อว่าเติบโตลดลงจากปีก่อน

              ส่วนภาพรวมการแข่งขันไตรมาสแรก พบว่าบริษัทรับสร้างบ้านต่างปรับตัวและหันมาเน้นการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ รวมทั้งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมสร้างบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในกลุ่ม Top 5 ได้แก่ กลุ่มบิวท์ทูบิวด์ กลุ่มซีคอน กลุ่มพีดีเฮ้าส์ กลุ่มรอแยลเฮ้าส์ และกลุ่มแลนดี้โฮม โดยสื่อสารผ่านช่องทางโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต่างๆ เช่น ทีวี สิ่งพิมพ์ ป้าย เว็บไซต์ และออกบูทงานแสดงสินค้า ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและผู้บริโภคทั่วไป 

             โดยที่ผ่านมา บริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำโดยเฉพาะในกลุ่ม Top 5 ดังกล่าวมีการใช้งบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท และคาดว่าตลอดปีจะใช้งบไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท หรือประมาณ 60% ของงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ธุรกิจรับสร้างบ้านรวมทั้งระบบปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท โดยการแข่งขันในธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้ ผู้ประกอบการชั้นนำต่างเน้นให้ความสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ มากกว่าจะมุ่งแข่งขันราคาเพื่อให้มีปริมาณงานมากๆ เท่านั้น 

              “สมาคมฯ ประเมินว่าผู้ประกอบการเองก็มีความกังวลต่อสภาวะต้นทุนที่ปรับขึ้น ทั้งจากต้นทุนวัสดุและค่าแรงที่ถีบตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันราคาไม่รุนแรงเหมือนปีก่อนๆ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ยังคงมีการแข่งขันกันสูงอยู่พอสมควร เนื่องเพราะมี Player รายเล็กๆ อยู่ในตลาดรับสร้างบ้านมากกว่า 100 ราย ขณะที่ในต่างจังหวัดจำนวนบริษัทรับสร้างบ้านมีน้อยราย หรือมีเพียง 50-60 รายจาก 75 จังหวัดทั่วประเทศ” 

แนวโน้มและทิศทางตลาดรับสร้างบ้าน Q2

              สำหรับครึ่งปีแรก สมาคมฯ คาดว่าผู้ประกอบการชั้นนำจะมีการขยายตลาดหรือขยายการให้บริการสร้างบ้านออกไปยังต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยแบ่งลักษณะการให้บริการออกเป็น 2 แบบ คือ 1. มีการขยายสาขาออกไปยังจังหวัดที่ให้บริการนั้นๆ และ 2. มีสาขาตั้งอยู่เฉพาะใน กทม.แต่รับสร้างในต่างจังหวัดด้วย ทั้งนี้เป็นการรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัดที่ต้องการเลือกมืออาชีพรับสร้างบ้าน แทนผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่นที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีแนวโน้มว่าปีนี้ความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ในภูมิภาคจะเติบโตมากกว่าปีก่อนๆ 

              อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดในช่วงไตรมาสสองเติบโต ได้แก่ ประการแรกเศรษฐกิจในภูมิภาคมีการขยายตัวที่ดี ประการถัดมา ประชาชนใน กทม.หันมานิยมสร้างบ้านหลังที่ 2 ในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่น้ำไม่ท่วม และประการสุดท้าย บริษัทรับสร้างบ้านมีการลงทุนและขยายสาขาออกไปยังภูมิภาคมากขึ้น ทั้งนี้ ความต้องการหรือกำลังซื้อที่เติบโตในช่วงท้ายไตรมาสแรกของบริษัทรับสร้างบ้าน น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีและต่อเนื่องมาถึงไตรมาสสอง 

              สำหรับการฟื้นตัวของภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านทั่วประเทศ นับว่าเร็วกว่าที่สมาคมฯ เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะฟื้นตัวได้ช่วงปลายไตรมาสสอง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทองของบริษัทรับสร้างบ้านที่มีการปรับตัวล่วงหน้าไปก่อนแล้ว รวมถึงรายที่กำลังเร่งปรับตัวเพื่อจะขยายสู่ตลาดต่างจังหวัด ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่และการแข่งขันก็ยังไม่รุนแรงเท่าตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

              ทั้งนี้ แม้ว่ากำลังซื้อจะมีแนวโน้มเติบโตในไตรมาสสองนี้ แต่อุปสรรคใหญ่ที่กำลังบั่นทอนผู้ประกอบการเป็นอย่างมากคือ ปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายหลังเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้ส่งผลในทางจิตวิทยาต่อแรงงานภาคก่อสร้าง ทั้งแรงงานที่มาจากภาคเกษตรในต่างจังหวัดและแรงงานต่างด้าว ที่เคยเข้ามาขุดทองขายแรงงานอยู่ในเมืองหลวง ส่วนใหญ่เมื่อมีการย้ายกลับถิ่นฐานก็ไม่ย้อนกลับเข้ามาทำงานในภาคก่อสร้างอีก ซึ่งอาจเป็นเพราะ 1.แรงงานเหล่านี้กลัวว่าจะเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคต 2. บ้านเกิดหรือท้องถิ่นเดิมมีการจ้างงานไม่ต่างกัน โดยปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก และรายใหญ่เหมือนๆ กัน

               แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการรายเล็กดูจะได้รับผลกระทบหนักกว่ารายใหญ่ เพราะไม่มีศักยภาพมากพอจะหันไปใช้การก่อสร้างระบบพรีแฟบ หรือโครงสร้างสำเร็จรูปได้ อาจเป็นด้วยมีจำนวนหรือปริมาณงานก่อสร้างไม่มาก และไม่อาจต่อรองใดๆ กับโรงงานผู้ผลิตได้ ซึ่งมีออเดอร์จากเจ้าของบ้านจัดสรรมากพออยู่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น