ASTVผู้จัดการรายวัน - ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดีดตัวดีขึ้น 2 เดือนติด หลังน้ำท่วมคลี่คลาย รัฐบาลมีแผนฟื้นฟู แต่ห่วงการเมือง ค่าครองชีพพุ่ง ฉุดดิ่งเหวอีก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือน ม.ค.2555 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเท่ากับ 74.2 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต ที่ 53.6 และ 81.6 ตามลำดับ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต เท่ากับ 64 ,65.4 และ 93.1 ตามลำดับ รวมถึงดัชนีความสุขในการดำรงชีวิตดีขึ้นเป็น 79.5
สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นดีขึ้น เพราะสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยรัฐบาลมีการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมที่คาดว่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปี 2555 ขยายตัวได้ 4.5-5% และการใช้จ่ายเงินของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีน รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% นโยบายปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และขยายเวลาลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเหลือ 0.005 บาท/ลิตรออกไปอีก 1 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นยังมีความเปราะบาง เพราะคนมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง โดยดัชนีความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ลดลงเหลือ 69.5 ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่าคนยังไม่มั่นใจการเมืองไทย แม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่แล้วก็ตาม และยังวิตกปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันที่เดือน ม.ค.เดือนเดียวปรับขึ้นถึงลิตรละกว่า 3 บาท รวมทั้งยังมีการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ (NGV) และแก๊สหุงต้ม (LPG)
“ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นที่ลดลง คือ ความขัดแย้งทางการเมือง และการบริหารจัดการพลังงานที่ไม่ดีพอจนกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าและค่าครองชีพประชาชน ซึ่งหากการเมืองและค่าครองชีพไม่รุนแรงไปกว่านี้ โอกาสที่เศรษฐกิจจะโตได้ 4.5-5% ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง โดยตอนนี้เศรษฐกิจพ้นช่วงต่ำสุดไปแล้ว และกำลังฟื้นตัวขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.และจะเริ่มดีมากตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป” นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับผลการสำรวจความเหมาะสมของการบริโภคในเดือน ม.ค.พบว่า ประชาชนเริ่มมั่นใจในการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ท่องเที่ยวและลงทุนทำธุรกิจเพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค.2554 หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ และเข้าสู่การฟื้นฟูช่วงหลังน้ำท่วม
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ศูนย์ฯกำลังสำรวจผลการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และแผนการบริหารจัดการน้ำในอนาคต เพื่อที่จะประเมินว่ารัฐบาลมีการรับมือกับปัญหาที่ผ่านมาอย่างไร และเตรียมความพร้อมแค่ไหนในการรับมือกับน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต รวมทั้งจะนำผลที่ได้ไปเสนอแนะให้กับรัฐบาลเพื่อรับไปดำเนินการต่อไป หลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.)
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เอกชนมั่นใจในระดับหนึ่งประมาณ 60% ว่า รัฐบาลจะบริหารจัดน้ำจนไม่สร้างความเสียหายอย่างปีที่ผ่านมาได้ หลังมีการตั้งกนอช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และหวังว่าจะไม่มีการมอบหมายให้คนอื่นทำงานอีก และอยากให้เร่งรัดแผนงานปฏิบัติงานอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้เริ่มกังวลต่อการปล่อยน้ำและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคกลางแล้ว เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะที่เดียวกันรัฐบาลก็ควรดูแลปัญหาจากภัยแล้งและน้ำเพื่อการเกษตรไปพร้อมๆ กันด้วย
ส่วนการสร้างความเชื่อมั่นในแผนประกันภัยน้ำท่วมที่รัฐบาลมีวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทนั้น สามารถสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะเอกชนยังต้องไปคุยกับบริษัทประกันภัยในเรื่องเบี้ยประกันภัยน้ำท่วม ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะเข้ามารับการประกันภัยเอง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือน ม.ค.2555 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเท่ากับ 74.2 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต ที่ 53.6 และ 81.6 ตามลำดับ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต เท่ากับ 64 ,65.4 และ 93.1 ตามลำดับ รวมถึงดัชนีความสุขในการดำรงชีวิตดีขึ้นเป็น 79.5
สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นดีขึ้น เพราะสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยรัฐบาลมีการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมที่คาดว่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปี 2555 ขยายตัวได้ 4.5-5% และการใช้จ่ายเงินของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีน รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% นโยบายปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และขยายเวลาลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเหลือ 0.005 บาท/ลิตรออกไปอีก 1 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นยังมีความเปราะบาง เพราะคนมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง โดยดัชนีความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ลดลงเหลือ 69.5 ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่าคนยังไม่มั่นใจการเมืองไทย แม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่แล้วก็ตาม และยังวิตกปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันที่เดือน ม.ค.เดือนเดียวปรับขึ้นถึงลิตรละกว่า 3 บาท รวมทั้งยังมีการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ (NGV) และแก๊สหุงต้ม (LPG)
“ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นที่ลดลง คือ ความขัดแย้งทางการเมือง และการบริหารจัดการพลังงานที่ไม่ดีพอจนกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าและค่าครองชีพประชาชน ซึ่งหากการเมืองและค่าครองชีพไม่รุนแรงไปกว่านี้ โอกาสที่เศรษฐกิจจะโตได้ 4.5-5% ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง โดยตอนนี้เศรษฐกิจพ้นช่วงต่ำสุดไปแล้ว และกำลังฟื้นตัวขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.และจะเริ่มดีมากตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป” นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับผลการสำรวจความเหมาะสมของการบริโภคในเดือน ม.ค.พบว่า ประชาชนเริ่มมั่นใจในการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ท่องเที่ยวและลงทุนทำธุรกิจเพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค.2554 หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ และเข้าสู่การฟื้นฟูช่วงหลังน้ำท่วม
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ศูนย์ฯกำลังสำรวจผลการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และแผนการบริหารจัดการน้ำในอนาคต เพื่อที่จะประเมินว่ารัฐบาลมีการรับมือกับปัญหาที่ผ่านมาอย่างไร และเตรียมความพร้อมแค่ไหนในการรับมือกับน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต รวมทั้งจะนำผลที่ได้ไปเสนอแนะให้กับรัฐบาลเพื่อรับไปดำเนินการต่อไป หลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.)
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เอกชนมั่นใจในระดับหนึ่งประมาณ 60% ว่า รัฐบาลจะบริหารจัดน้ำจนไม่สร้างความเสียหายอย่างปีที่ผ่านมาได้ หลังมีการตั้งกนอช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และหวังว่าจะไม่มีการมอบหมายให้คนอื่นทำงานอีก และอยากให้เร่งรัดแผนงานปฏิบัติงานอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้เริ่มกังวลต่อการปล่อยน้ำและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคกลางแล้ว เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะที่เดียวกันรัฐบาลก็ควรดูแลปัญหาจากภัยแล้งและน้ำเพื่อการเกษตรไปพร้อมๆ กันด้วย
ส่วนการสร้างความเชื่อมั่นในแผนประกันภัยน้ำท่วมที่รัฐบาลมีวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทนั้น สามารถสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะเอกชนยังต้องไปคุยกับบริษัทประกันภัยในเรื่องเบี้ยประกันภัยน้ำท่วม ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะเข้ามารับการประกันภัยเอง
