ทริสฯ เผยมุมมอง ธุรกิจ-อุตสาหกรรม ปี 55 “ก่อสร้าง-ค้าปลีก-พลังงาน” แนวโน้มรุ่ง พร้อมเกาะติด 5 กลุ่ม “อสังหาฯ-นิคมอุตฯ-แบงก์-ขนส่ง-เกษตร” แนวโน้มยังน่าห่วง ประเมินเอ็นพีแอลแบงก์พาณิชย์พุ่ง หลังหมดเขตผ่อนปรนลูกหนี้น้ำท่วมกลางปีนี้ ชี้ ความเสี่ยงต้องตั้งสำรองเพิ่ม ส่วนภาพรวมปี 54 ภาคเอกชนออกหุ้นกู้ 2.54 แสนล้าน มีธุรกิจที่ถูกปรับลดเครดิตลง 5 ราย
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เปิดเผยทิศทางกลุ่มธุรกิจไทยในในปี 2555 โดยมองว่า ภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ประกอบด้วย ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจพลังงาน ส่วนธุรกิจที่ต้องติดตามความเสี่ยง ได้แก่ ธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัย ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจสถาบันการเงิน ธุรกิจเกษตร และอาหาร
ทั้งนี้ ธุรกิจก่อสร้าง การก่อสร้างน่าจะฟื้นตัวในปี 2555 หลังจากน้ำลดลงแล้ว เนื่องจากการที่อุทกภัยใหญ่ในปี 2554 ได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นวงกว้างนับเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดโครงการก่อสร้างซ่อมแซมและโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐหลายโครงการ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการบางรายอาจได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของโครงการ
ธุรกิจค้าปลีก ผู้ประกอบการค้าปลีกเกี่ยวกับอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน รวมทั้งเครื่องใช้ภายในบ้าน ของตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบในเชิงบวกจากอุทกภัยเนื่องจากครัวเรือนจำนวนมากต้องซ่อมแซมบ้านที่อยู่อาศัยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติ
ส่วนธุรกิจพลังงาน คาดว่าน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2555 นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจได้รับผลดีจากการปรับขึ้นราคาพลังงานในปี 2555 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการพลังงานด้วยเช่นกัน
พร้อมกันนี้ ทริสฯ ยังคงติดตามความเสี่ยงของลูกค้าทุกรายอย่างต่อเนื่อง โดยมีอุตสาหกรรมที่เห็นว่าต้องจับตามองเป็นพิเศษ ดังนี้ บ้านและที่อยู่อาศัย เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 ยังคงส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2555 โดยความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง โดยเฉพาะในเขตภัยพิบัติ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการที่มีโครงการเหลือขายในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม เช่น รังสิต ลำลูกกา สายไหม บางบัวทอง และราชพฤกษ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่ออันดับเครดิตของผู้ประกอบการต่างๆ ยังขึ้นอยู่กับการกระจายตัวของโครงการในเขตต่าง ๆ และความเพียงพอของสภาพคล่องของธุรกิจเพื่อรองรับภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะสั้น
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจให้เช่าโรงงานและคลังสินค้าที่ถูกน้ำท่วมในปี 2554 มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปี 2555 ในรูปค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในโครงการและการป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ในขณะที่ความต้องการซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและการเช่าโรงงานในพื้นที่ประสบภัยพิบัติอาจได้รับผลกระทบในระยะสั้นจากความกังวลของนักลงทุน อย่างไรก็ดี นโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนในการจัดการปัญหาน้ำท่วมน่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการเอกชนในกรณีนี้ได้
ธุรกิจสถาบันการเงิน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบสถาบันการเงินของไทยเท่ากับ 2.8% ลดลงจาก 3.6% ณ สิ้นปี 2553 ผลกระทบจากน้ำท่วมที่มีต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ น่าจะก่อให้เกิดการว่างงานและการขาดรายได้ของประชากรบางกลุ่มซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการผ่อนผันให้สถาบันการเงินสามารถคงสถานะการจัดชั้นลูกหนี้ที่เป็นหนี้ปกติหรือกล่าวถึงเป็นพิเศษที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 55 การผ่อนปรนดังกล่าวจึงน่าจะทำให้ยอด NPL ของระบบสถาบันการเงินยังไม่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น
ภายหลังจากมาตรการดังกล่าวสิ้นสุดลง ทริสเรทติ้งคาดว่า NPL น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงตั้งแต่กลางปี 55 เป็นต้นไป ซึ่งอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินประเภท Non-bank จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการที่จะต้องตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่มีอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
ด้านธุรกิจขนส่ง ความต้องการโดยสารทางอากาศของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ รวมทั้งความต้องการบริการขนส่งสินค้าทางอากาศและทางเรือมีแนวโน้มจะชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตหนี้ยุโรป จากการประมาณการล่าสุดของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ระบุว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศจะเติบโต 3.8% ในปี 2555 ลดลงจาก 5.9% ในปี 2554 และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการอัตราการขยายตัวของการค้าโลกเท่ากับ 3.8% ในปี 2555 ลดลงจาก 6.9% ในปี 2554
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการขนส่งทั้งการขนส่งทางอากาศและการขนส่งทางเรือน่าจะได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการมีข้อจำกัดในการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารและอัตราค่าระวาง และต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับสูงในปี 2555 รวมทั้งการที่รัฐบาลมีนโยบายปรับขึ้นราคาขายปลีกในประเทศของก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและก๊าซ NGV ตั้งแต่ต้นปี 2555 ย่อมจะเพิ่มต้นทุนการให้บริการขนส่งในประเทศ
ส่วนธุรกิจเกษตรและอาหาร สินค้าเกษตรและอาหารอาจจะได้รับผลกระทบในด้านการส่งออกเนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปอาจลุกลามจนทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดลง และจะส่งผลทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ภัยธรรมชาติที่เกิดมากขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยด้วย
โดยในรอบปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งได้ดำเนินการจัดอันดับเครดิตรวม 123 ครั้ง ซึ่งประกอบด้วยการจัดอันดับเครดิตให้แก่ลูกค้าใหม่จำนวน 13 ครั้ง และการทบทวนอันดับเครดิตของลูกค้าเดิมจำนวน 110 ครั้ง ทั้งนี้ ผลของการทบทวนอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งปรากฏว่ามีบริษัทที่ได้รับการยืนยันอันดับเครดิตเดิมมี 73 ราย บริษัทที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมี 14 ราย และปรับลดอันดับเครดิต 5 ราย ที่เหลือเป็นการปรับแนวโน้มอันดับเครดิต (Rating Outlook)
การปรับลดอันดับเครดิตองค์กรในปีที่ผ่านมาประกอบด้วยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (2 ราย) อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ (2 ราย) และอุตสาหกรรมโรงแรม (1 ราย) ผู้ประกอบการที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิต 14 รายประกอบด้วยผู้ประกอบการในกลุ่มพลังงาน ธุรกิจเกษตรและอาหาร สถาบันการเงิน ค้าปลีก ที่อยู่อาศัย สื่อสาร โรงพยาบาล และอื่นๆ