“สุกำพล” ยันตอนนี้ยังไม่ประเมินผลงาน “ปิยสวัสดิ์” เพราะต้องรอชี้แจงสาเหตุการขาดทุน 3 พันล้าน พร้อมสั่งหาตลาดเพิ่ม ลั่นไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน หรือเปลี่ยนรัฐบาลแล้วต้องเปลี่ยนคน หรือเพราะภรรยาของ นายปิยสวัสดิ์ เป็น ส.ส.พรรค ปชป.แล้วสามีจะไม่ผ่านประเมิน "บอร์ดทีจี" หวั่นขาดทุนหนัก เรียกผู้บริหารเวิร์กช็อปด่วน เร่งปรับกลยุทธ์ หวังดันเคบินแฟคเตอร์ Q1/55 ทะลุ 77% ผู้บริหารครวญ ปัจจัยลบรุมป่วน ทั้งน้ำมันแพง น้ำท่วม และค่าชดเชย พนง. ที่เดือดร้อน แถมเกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองซ้ำ "ดร.กบ-สทท." ห่วงกระทบท่องเที่ยว ช่วงคริสมาสต์-ปีใหม่ แนะเหลิมดูแลหยุดสร้างสถานการณ์
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ระบุว่า จากผลกระทบน้ำท่วมทำให้บริษัทต้องสูญรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท และอาจส่งผลให้บริษัทขาดทุน โดยบอกว่า เรื่องนี้ผู้บริหารการบินไทยจะต้องชี้แจงข้อเท็จจริง และสาเหตุของกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“เชื่อว่า ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ทำให้ขาดทุนทั้งหมด แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ ด้วย หากพบว่าสาเหตุของปัญหามีเหตุมีผล ก็ยอมรับฟังได้ โดยมองว่า การขาดทุนจากน้ำท่วมไม่ใช่ความผิดของบุคคลใด และยังไม่สามารถประเมินผลงานของ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย ว่าจะผ่านหรือไม่”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า การประเมินไม่มีเรื่องของการเมืองมาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน โดยจะพิจารณาจากผลการบริหารงาน และความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ว่าเมื่อปรับเปลี่ยนรัฐบาลแล้วต้องเปลี่ยนคน หรือเพราะภรรยาของ นายปิยสวัสดิ์ เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ แล้ว นายปิยสวัสดิ์ จะไม่ผ่านประเมิน
ส่วนแผนการบริหารงานของการบินไทยที่ได้ปรับตัว โดยการตั้งสายการบินไทยสมายล์นั้น เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี เพราะสายการบินไทยสมายล์จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานได้มาก และสามารถรองรับกลุ่มผู้โดยสารได้หลากหลายขึ้น นอกเหนือจากกลุ่มผู้โดยสารระดับพรีเมี่ยมที่ใช้บริการสายการบินไทย
นอกจากนี้ ตนเองยังได้มอบนโยบายให้ฝ่ายบริการและบอร์ดการบินไทย ควรหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น กรุงเตหะราน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิหร่าน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความต้องการแต่ขาดสายการบินให้บริการ
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยใหญ่ การบินไทย กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 โดยระบุว่าในวันที่ 17 ธันวาคม 2554 นี้ การปินไทยจะจัดประชุมนัดพิเศษเพื่อปรับแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2555-2556 เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หลังจากที่การบินไทยได้รายงานบอร์ดให้ทราบว่า อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (เคบินแฟคเตอร์) ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 70.6% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.9% และในเดือนพฤศจิกายน 2554 มีเคบินแฟคเตอร์เพียง 61% ซึ่งถือว่าต่ำมาก
“ในไตรมาสแรกปี 2555 จะต้องมีเคบินแฟคเตอร์สูงกว่า 77% สูงกว่าปกติอยู่ที่ระดับ 70-80% แต่ถ้าต่ำกว่า 77% ก็ถือว่าขาดทุน เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 40% คิดเป็น 17,000 ล้านบาท และน้ำท่วมทำให้สูญรายได้ถึง 3,000 ล้านบาท” นายปิยสวัสดิ์กล่าว
นอกจากนี้ บอร์ดยังมีมติเห็นชอบให้การบินไทยจัดหาเงินทุนระยะยาวด้วยวิธีออกตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ภายในประเทศ อายุหุ้นกู้ 5 ปี ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท ขายแบบเฉพาะเจาะจงไม่เกิน 10 ราย เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ลงทุนในสินทรัพย์ และชำระคืนเงินกู้ของการบินไทย ที่มีต้นทุนทางการเงินสูงกว่า โดยแต่งตั้ง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาและผู้จัดการการจัดจำหน่าย
ส่วนเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ จำนวน 3 จุด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมานั้น นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย ที่เพิ่งพ้นวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ และเป็นห่วงว่าจะกระทบความมั่นใจต่อนักท่องเที่ยวช่วงคริสมาสต์ และ ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการ (บอร์ด) การบินไทย กล่าวว่า ช่วงปลายปีจะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ปกติจะมีปริมาณผู้โดยสารสูงมาก แต่ปริมาณ ผู้โดยสารกลับลดลงเป็นผลกระทบจากมหาวิกฤติอุทกภัยในประเทศไทย ทำให้ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกออกประกาศเตือนประชาชนของตนเองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมายังประเทศไทย อีกทั้งบริษัทประกันภัยบางรายปฏิเสธไม่รับประกันภัยการเดินทาง ส่งผลให้ผู้โดยสารโดยเฉพาะชาวต่างชาติยกเลิก และเลื่อนการเดินทาง
ด้านนายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบาย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า เหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดถึง 3 จุด จะส่งผลทำให้กระทบต่อจิตวิทยาทางการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเคานท์ดาวน์ในเทศกาลปีใหม่ในเขต กทม.เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะยังคงจดจำเหตุการณ์รอบวางระเบิดสุดท้ายปีเมื่อ ปี2551 ได้ติดตา แต่เมื่อใกล้เทศกาลปีนี้เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดอีก
"สทท.เห็นว่ารัฐบาลควรที่จะเร่งสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติมากกว่านี้ เชื่อว่าเหตุการณ์รอบวางระเบิดนี้เป็นผลพวงมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ดังนั้นหากรัฐเร่งสร้างความปรองดองได้เร็ว ก็จะทำให้บรรยากาศทางการท่อง เที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง" นายกงกฤช กล่าวสรุป