นกแอร์ฟุ้งกำไรโตต่อเนื่อง คาดสิ้นปีแตะ 400 ล้านบาท เพิ่ม 100% จากเป้า พร้อมเดินหน้าเพิ่มเครื่องบินเป็น 19 ลำ ในอีก 4 ปีข้างหน้า หวังใช้โอกาสจากวิกฤตยุโรป เช่าเครื่องใหม่ราคาถูก ลุยเพิ่มช่องทางจำหน่ายตั๋ว-ชำระเงินผ่านเอทีเอ็ม เซเว่นอีเลฟเว่น และ สมาทโฟน ดันผู้ใช้บริการปีหน้าโตแตะ 5 ล้านคน
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ เปิดเผยว่า ธุรกิจของนกแอร์เติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอัตราขนส่งผู้โดยสาร (โหลดแฟกเตอร์) เฉลี่ยที่ 85-90% ทุกเส้นทางบินของนกแอร์ โดย 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัท มีผลประกอบการเป็น กำไรสุทธิรวม 230 ล้านบาท หรือ 35-45 ล้านบาทต่อเนื่อง ถึงสิ้นปีคาดว่ากำไรสุทธิจะเป็น 350-400 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่คาดว่า ปีนี้จะกำไรสุทธิรวมทั้งปีที่ 198 ล้านบาท โดยไตรมาสสุดท้าย สถานการณ์ธุรกิจยังคงเติบโตต่อเนื่อง ปีนี้จะมีผู้ใช้บริการนกแอร์รวม 4 ล้านคน และเพิ่มเป็น5 ล้านคนในปีหน้า
“ปีก่อนนกแอร์มีผลกำไร 634 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ที่ผลกำไรลดลง เกิดจาก สถานการณืราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ซึ่งนกแอร์มีการบริหารความเสียงด้วยการทำเฮดฟันด์ 30% กับบริษัทนำมันเชลล์”
นายพาที กล่าวว่า ลูกค้าของนกแอร์ 80% เป็นคนไทย ซึ่งปัจจุบันพฤติกรรมคนไทยมีการปรับเปลี่ยน หันมาเดินทางโดยเครื่องบินมากขึ้น ในปี 2004 มีคนไทยใช้บริการเครื่องบินภายในประเทศ 5 ล้านคน เพิ่มเป็น 25 ล้านคน ในปีปัจจุบัน โดยกลุ่มผู้ใช้บริการมีตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่น ถึงวันทำงาน นกแอร์จึงมีแผนที่จะเพิ่มเครื่องบินในการให้บริการ ตั้งเป้าหมายภายในปี 2558 จะมีเครื่องบินให้บริการรวม 19 ลำ แบ่งเป็น ATR 7 ลำ และ โบอิ้ง 737-800 ขนาด 189 ที่นั่ง อีกจำนวน 12 ลำ จากปัจจุบัน มีเครื่องบินให้บริการ 12 ลำ โดยจะเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่ 24 ต.ค.ปีนี้ เป็นต้นไป ขณะที่เครื่องเก่า ซึ่งเช่าของการบินไทยได้หมดสัญญา ทยอยส่งมอบคืน ซึ่งเครื่อง 737 ดังกล่าว นกแอร์จะเช่าจาก สายการบิน ในยุโรปที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นเครื่องใหม่ เช่าได้ในราคาถูก ระยะสัญญา 7 ปี
ล่าสุด ในโอกาสครบรอบ 7 ปี นกแอร์เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายตั๋วโดยสาร และช่องทางชำระเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้า โดยสามารถชำระค่าตั๋วเครื่องบินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีกว่า 6,000 สาขาทั่วประเทศ ตู้เอทีเอ็ม อีกกว่า 30,000 ตู้ทั่วประเทศ รวมถึงบุ๊กกิ้ง และจ่ายเงินผ่านระบบสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังศึกษาเพิ่มเส้นทาง ไปชุมพร ระนอง ปีหน้า ส่วนเส้นทางต่างประเทศ ยังขอชะลอไว้ก่อน ขณะที่โครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นของ นกแอร์เมเนจเม้นท์ 25% ส่วนตัวอีก 5% และการบินไทยถือ 70% เพิ่มจากเดิม 10% คิดว่า เป็นสัดส่วนที่เหมาะสม แล้ว โดยการบริหารงานยังคล่องตัวเหมือนเดิม
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ เปิดเผยว่า ธุรกิจของนกแอร์เติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอัตราขนส่งผู้โดยสาร (โหลดแฟกเตอร์) เฉลี่ยที่ 85-90% ทุกเส้นทางบินของนกแอร์ โดย 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัท มีผลประกอบการเป็น กำไรสุทธิรวม 230 ล้านบาท หรือ 35-45 ล้านบาทต่อเนื่อง ถึงสิ้นปีคาดว่ากำไรสุทธิจะเป็น 350-400 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่คาดว่า ปีนี้จะกำไรสุทธิรวมทั้งปีที่ 198 ล้านบาท โดยไตรมาสสุดท้าย สถานการณ์ธุรกิจยังคงเติบโตต่อเนื่อง ปีนี้จะมีผู้ใช้บริการนกแอร์รวม 4 ล้านคน และเพิ่มเป็น5 ล้านคนในปีหน้า
“ปีก่อนนกแอร์มีผลกำไร 634 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ที่ผลกำไรลดลง เกิดจาก สถานการณืราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ซึ่งนกแอร์มีการบริหารความเสียงด้วยการทำเฮดฟันด์ 30% กับบริษัทนำมันเชลล์”
นายพาที กล่าวว่า ลูกค้าของนกแอร์ 80% เป็นคนไทย ซึ่งปัจจุบันพฤติกรรมคนไทยมีการปรับเปลี่ยน หันมาเดินทางโดยเครื่องบินมากขึ้น ในปี 2004 มีคนไทยใช้บริการเครื่องบินภายในประเทศ 5 ล้านคน เพิ่มเป็น 25 ล้านคน ในปีปัจจุบัน โดยกลุ่มผู้ใช้บริการมีตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่น ถึงวันทำงาน นกแอร์จึงมีแผนที่จะเพิ่มเครื่องบินในการให้บริการ ตั้งเป้าหมายภายในปี 2558 จะมีเครื่องบินให้บริการรวม 19 ลำ แบ่งเป็น ATR 7 ลำ และ โบอิ้ง 737-800 ขนาด 189 ที่นั่ง อีกจำนวน 12 ลำ จากปัจจุบัน มีเครื่องบินให้บริการ 12 ลำ โดยจะเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่ 24 ต.ค.ปีนี้ เป็นต้นไป ขณะที่เครื่องเก่า ซึ่งเช่าของการบินไทยได้หมดสัญญา ทยอยส่งมอบคืน ซึ่งเครื่อง 737 ดังกล่าว นกแอร์จะเช่าจาก สายการบิน ในยุโรปที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นเครื่องใหม่ เช่าได้ในราคาถูก ระยะสัญญา 7 ปี
ล่าสุด ในโอกาสครบรอบ 7 ปี นกแอร์เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายตั๋วโดยสาร และช่องทางชำระเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้า โดยสามารถชำระค่าตั๋วเครื่องบินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีกว่า 6,000 สาขาทั่วประเทศ ตู้เอทีเอ็ม อีกกว่า 30,000 ตู้ทั่วประเทศ รวมถึงบุ๊กกิ้ง และจ่ายเงินผ่านระบบสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังศึกษาเพิ่มเส้นทาง ไปชุมพร ระนอง ปีหน้า ส่วนเส้นทางต่างประเทศ ยังขอชะลอไว้ก่อน ขณะที่โครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นของ นกแอร์เมเนจเม้นท์ 25% ส่วนตัวอีก 5% และการบินไทยถือ 70% เพิ่มจากเดิม 10% คิดว่า เป็นสัดส่วนที่เหมาะสม แล้ว โดยการบริหารงานยังคล่องตัวเหมือนเดิม
