ผู้ค้าก๊าซ เผย ถังแอลพีจี ขนาดบรรจุ 48 กก.เริ่มขาดแคลนในตลาด เพราะผู้ประกอบการ “เอสเอ็มอี” หนีตายหลัง รบ.เก่า ปรับขึ้นแอลพีจีภาคอุตฯ กก.ละ 3 บาท หันไปใช้ก๊าซสำหรับครัวเรือนแทน
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ได้เริ่มหันมาใช้ก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือนมากขึ้น หลังจากที่มีการปรับราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 3 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ถุงบรรจุก๊าซแอลพีจีขนาด 48 กิโลกรัมแบบ 2 วาล์วของผู้ค้ามาตรา 7 เริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในตลาด
“โดยปกติแล้วถังก๊าซแอลพีจีขนาด 48 กิโลกรัม จะหมุนเวียนอยู่ในตลาดประมาณ 5,000-10,000 ใบ ตอนนี้เริ่มขาดแคลนแล้ว ต้องใช้วิธีจองถังก๊าซใหม่ ซึ่งใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะได้ ส่วนร้านค้าที่ทำประกันถังก๊าซไว้ก็ยังไม่ได้ถังก๊าซใหม่เปลี่ยนทันทีเช่นกัน สาเหตุมาจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหาทางรอดให้กับตัวเอง หากรัฐบาลยังเดินหน้าขึ้นราคาครบ 12 บาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จะทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มเอสเอ็มอีหันมาใช้ถังขนาด 48 กิโลกรัมมากขึ้น”
นายชิษณุพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังทำการสำรวจผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน โดยเฉพาะในส่วนของร้านค้าแอลพีจีจะมีมากหรือน้อย คาดว่าภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2554 นี้ จะสรุปผลได้ และหากพบว่านโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบมาก จะนำผลสำรวจเสนอต่อกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอขึ้นค่าขนส่งก๊าซ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันค่าแรงที่ร้านค้าก๊าซแอลพีจีจ้างลูกจ้างในการส่งก๊าซแอลพีจีให้ลูกค้า อยู่ที่วันละ 220 บาท คิดเป็นประมาณ 20% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน เท่ากับว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 36%