“ส.อ.ท.” เตรียมเสนอรัฐบาลขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ควรทยอยเป็นขั้นบันไดภายใน 3-4 ปี เผยผลสำรวจขึ้นทันทีทั่วประเทศเอกชนรัดเข็มขัดส่อแววลดคน และยกเลิกสวัสดิการที่เคยให้ และท้ายสุดเลิกกิจการ
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.เตรียมข้อมูลเพื่อหารือกับรัฐบาลถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ที่รัฐบาลเตรียมผลักดันในเร็วๆ นี้ โดยจะขอให้มีการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดภายใน 3-4 ปี โดยผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการไตรภาคีทั้งในระดับจังหวัดและส่วนกลาง ปราศจากแรงกดดันหรือการแทรกแซงจากภาคการเมือง นอกจากนี้ ควรนำปัจจัยเรื่องค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาด้วย
“ส.อ.ท.จะชี้แจงข้อมูลผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ในการสัมมนาเรื่องดังกล่าววันที่ 19 สิงหาคมนี้ พร้อมกันนี้ต้องการให้รัฐบาลต้องหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบถึงขั้นอาจปิดกิจการ หรือเลิกจ้างแรงงานที่เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจริงๆ” นายพยุงศักดิ์ กล่าว
แหล่งข่าวจาก ส.อ.ท.กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้เตรียมข้อมูลที่จะเสนอต่อรัฐบาลถึงผลกระทบต่อการขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศแล้ว โดยผลสำรวจพบแนวทางของภาคเอกชนที่จะต้องปรับตัวสำคัญ คือ การนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาผลิตแทนคนเพิ่มขึ้นกรณีที่มีเงินทุนเพียงพอ การบริหารลดต้นทุนต่างๆ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ขนส่ง ลดการจ้างงานและพัฒนาผลิตภาพแรงงานที่มีอยู่ให้ทำงานได้หลากหลาย และที่สุดลดกำลังการผลิต และชะลอการลงทุน โดยอาจย้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมา ได้แก่ ผู้ประกอบการอาจลด หรือยกเลิกสวัสดิการที่เคยให้กับพนักงาน อาทิเช่น ค่าครองชีพ ค่าอาหาร ที่พัก รถรับส่ง เงินกู้ ชุดฟอร์ม ทุนการศึกษา เป็นต้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ขณะเดียวกัน อาจมีการลักลอบการจ้างแรงงานผิดกฎหมายมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งผลกระทบระยะยาวจะทำให้การลงทุนในประเทศลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ซึ่งใช้แรงงานกว่า 10 ล้านคน
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.เตรียมข้อมูลเพื่อหารือกับรัฐบาลถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ที่รัฐบาลเตรียมผลักดันในเร็วๆ นี้ โดยจะขอให้มีการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดภายใน 3-4 ปี โดยผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการไตรภาคีทั้งในระดับจังหวัดและส่วนกลาง ปราศจากแรงกดดันหรือการแทรกแซงจากภาคการเมือง นอกจากนี้ ควรนำปัจจัยเรื่องค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาด้วย
“ส.อ.ท.จะชี้แจงข้อมูลผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ในการสัมมนาเรื่องดังกล่าววันที่ 19 สิงหาคมนี้ พร้อมกันนี้ต้องการให้รัฐบาลต้องหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบถึงขั้นอาจปิดกิจการ หรือเลิกจ้างแรงงานที่เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจริงๆ” นายพยุงศักดิ์ กล่าว
แหล่งข่าวจาก ส.อ.ท.กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้เตรียมข้อมูลที่จะเสนอต่อรัฐบาลถึงผลกระทบต่อการขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศแล้ว โดยผลสำรวจพบแนวทางของภาคเอกชนที่จะต้องปรับตัวสำคัญ คือ การนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาผลิตแทนคนเพิ่มขึ้นกรณีที่มีเงินทุนเพียงพอ การบริหารลดต้นทุนต่างๆ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ขนส่ง ลดการจ้างงานและพัฒนาผลิตภาพแรงงานที่มีอยู่ให้ทำงานได้หลากหลาย และที่สุดลดกำลังการผลิต และชะลอการลงทุน โดยอาจย้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมา ได้แก่ ผู้ประกอบการอาจลด หรือยกเลิกสวัสดิการที่เคยให้กับพนักงาน อาทิเช่น ค่าครองชีพ ค่าอาหาร ที่พัก รถรับส่ง เงินกู้ ชุดฟอร์ม ทุนการศึกษา เป็นต้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ขณะเดียวกัน อาจมีการลักลอบการจ้างแรงงานผิดกฎหมายมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งผลกระทบระยะยาวจะทำให้การลงทุนในประเทศลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ซึ่งใช้แรงงานกว่า 10 ล้านคน