“สุเทพ” จวก “พาณิชย์” รอบคอบก่อนให้ข่าวลดราคาน้ำมันปาล์มเหลือขวดละ 42 บาท เพราะทำให้ ปชช.สับสน และกระทบกลไกตลาด พร้อมระบุที่ประชุม กนป.วันนี้ ตีกลับปรับลดเพดานราคา พร้อมโยน “พาณิชย์” ชงข้อมูลเพิ่ม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ออกมาตำหนิกระทรวงพาณิชย์กรณีที่มีข่าวจะเสนอ กนป.ให้พิจารณาปรับลดราคาขายน้ำมันปาล์มจากขวดละ 47 บาท เหลือ 42 บาท แต่ในวันนี้กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้เสนอเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมฯ พิจารณา โดยนายสุเทพขอให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาด้วยความรอบคอบก่อนที่จะออกมาให้ข่าว เพราะไม่เช่นนั้นจะสร้างความสับสนให้แก่ประชาชน และส่งผลกระทบต่อกลไกตลาด
“วันนี้ที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาปรับเพดานราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวดลง โดยได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปรวบรวมข้อมูลและนำเสนอต่อที่ประชุมอีกครั้ง ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ โดยในขณะนี้เห็นว่ากลไกในตลาดเริ่มทำงานแล้ว ราคาน้ำมันปาล์มดิบของประเทศไทยและมาเลเซียมีราคาใกล้เคียงกัน”
นายสุเทพกล่าวอีกว่า วันนี้ที่ประชุมฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมากรณีให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มดิบที่มีอัตราน้ำมันขั้นต่ำ 17% จากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 6 บาท และให้โรงกลั่นน้ำมันรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดน้ำมันในราคาลิตรละ 36.28 บาท ซึ่งส่วนใหญ่สามารถดำเนินการได้ตามมติ กนป.
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวพบว่ายังมีปัญหาในส่วนที่เป็นลานเท และโรงสกัดน้ำมัน ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคมฯ รับซื้อผลปาล์มดิบจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 5.80 บาท ซึ่งที่ประชุมฯ กำชับให้สมาคมไปเจรจาเพื่อให้มีการรับซื้อผลปาล์มดิบจากเกษตรกรในราคาดังกล่าวตามมติ กนป.
สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันปาล์มทั้งระบบในเดือนเมษายน 2554 อยู่ที่ 156,318 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 139,371 ตันในเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งที่ประชุมฯ มอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปบริหารเพื่อใช้ในการผลิตเป็นไบโอดีเซล บี 3 และไบโอดีเซล บี 5 พร้อมดูแลปริมาณการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบของโรงกลั่นจากโรงงานสกัดว่า มีการปฏิบัติตามมติของ กนป.ในการรับซื้อที่กิโลกรัมละ 36.28 บาทต่อกิโลกรัมหรือไม่ และในส่วนที่เหลือจากการบริโภค ให้พิจารณาจัดทำไบโอดีเซลตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ นัดประชุมหลังจากนี้อีก 10 วัน เพื่อติดตามความคืบหน้า และพิจารณาเรื่องต้นทุนการผลิตอีกครั้ง เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดจะหมดลงในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2554 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและราคาผลผลิตปรับตัวสูงขึ้น