xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.รับกำไรQ2วูบ สำลักน้ำมันผันผวน-คงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต10%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปตท.เตือนนักลงทุนทำใจ กำไรสุทธิไตรมาส 2 นี้ ต่ำกว่าไตรมาส 1/2554 ที่มีกำไร 3.45 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันผันผวนและมาร์จินแคบลง แต่มั่นใจกำไรไตรมาส 2/2554 ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 10%

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของปตท.ในไตรมาส 2/2554 จะต่ำกว่าไตรมาสแรกปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 3.45 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันในไตรมาสนี้มีความผันผวนสูง และยังมีปัจจัยลบเกี่ยวกับปัญหาการว่างงานในสหรัฐ ปัญหาหนี้ในยุโรปทำให้เกิดความวิตกเรื่องเศรษฐกิจบางประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว และ ปัญหาในตะวันออกกลางก็ยังไม่มีข้อยุตินี้ ทำให้เกิดความกังวลว่าความต้องการใช้น้ำมันจะไม่โต ทำให้มีการขายน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ออกมาเพื่อทำกำไร

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาน้ำมันในไตรมาสนี้จะอ่อนตัวลงมา แต่ก็ยังอยู่ระดับที่สูงเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบที่ปตท.เคยประเมินว่าปีนี้จะอยู่ที่ 85-90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีเซล 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และเบนซินเกือบ 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 2 นี้ไม่น่าจะด้อยกว่าไตรมาส 2/2553ที่มีกำไรสุทธิ 1.66 หมื่นล้านบาท

" ในไตรมาส 1/2554 ถือเป็นไตรมาสที่มีกำไรPeak สุด เพราะราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น มาร์จิ้นดี ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถเมนเทนกำไรระดับนี้ไว้ได้ โดยไตรมาส 2 นี้มาร์จินแคบลง แต่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนแน่ เนื่องจากผลดำเนินงานในช่วงเม.ย.ดี แต่อ่อนตัวลงในเดือนพ.ค.-มิ.ย. "

นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงมา แต่ไม่กระทบเป้าหมายรายได้ปตท.ในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 10%จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.9 ล้านล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 โรงเอทิลีนแครกเกอร์ล้านตัน และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกที่เดินเครื่องได้เต็มปี

สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันโลกจะปรับตัวลดลงจากนี้หรือไม่นั้นคงต้องรอการตัดสินใจสหรัฐฯว่าจะมีนโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบ(QE)เพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากไม่มีการอัดฉีดเงินเพิ่มอีก เชื่อว่าจะกระทบต่อการลงทุนหุ้น น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากนักลงทุนจะมีการเทขายออกมา ทำให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง รวมไปถึงปัญหาตะวันออกกลางที่ยังไม่มีข้อยุติด้วย

"ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ผ่านจุดสูงสุดที่ระดับ 130 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว ขณะนี้เริ่มปรับตัวลง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศทยอยปรับลดลง โดยเฉพาะเบนซิน ส่วนดีเซลเชื่อว่าจะยังไม่มีการปรับลดราคาลง เนื่องจากต้องเก็บเงินคืนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกเฉลี่ย 1.50 บาท/ลิตร โดยเมื่อต้นปีนี้ถึงปัจจุบันค่าการตลาดน้ำมันอยู่ที่ 1.10 บาท/ลิตร หากราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ปรับลดลงอีก ปตท.ก็จะทยอยปรับราคาขายปลีกกลุ่มเบนซินลง"

ส่วนปัญหาการให้บริการก๊าซธรรมชาติในรถยนต์( NGV)ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในขณะนี้ นายประเสริฐ ยอมรับว่า ปตท.ไม่สามารถขยายสถานีบริการNGVได้ทันความต้องการ เนื่องจากรถยนต์ใหม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้NGV รวมทั้งรถบรรทุกได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้หันมาใช้NGVเช่นกัน ขณะที่ต้นทุนNGV สูงกว่าราคาขายที่รัฐตรึงราคาอยู่ที่ 8.50 บาท/กก. ทำให้
ปตท.ต้องรับภาระขาดทุน 4-5 บาท/ก.ก.

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงแผนจะขยายสถานีบริการNGV ในปีนี้ให้ได้ครบ 500 แห่ง ครอบคลุม 60 จังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่มีแผนจะลดจำนวนสถานีบริการNGVแต่อย่างใด สำหรับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งในด้านพลังงานของพรรคการเมืองต่างๆนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนใหญ่มีนโยบายที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะการบริหารจัดการด้านพลังงานเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อย เช่น การตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร การตรึงราคาเอ็นจีวี และก๊าซหุงต้ม โดยใช้กลไกจากกองทุนน้ำมันฯ และภาษีเข้ามาจัดการ ซึ่งเป็นนโยบายที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ คงต้องรอดูว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล เชื่อว่านโยบายต่างๆ คงจะต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
กำลังโหลดความคิดเห็น