เป็นปลื้มกันถ้วนหน้ากับ “โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก” โดยบิ๊กบอสธอส. “วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี” รายงานบรรยากาศวันแรกประชาชนให้ความสนใจอย่างล้นหลามมีลูกค้ามารอรับบัตรคิว ตั้งแต่ตี 4ยอดยื่นกู้สุทธิ 5,958 ราย รวมวงเงิน 9,016 ล้านบาท ยังคงเหลือวงเงินกู้ได้อีก 15,984 ล้านบาท เฉลี่ยรายละประมาณ 1.5 ล้านบาท
ส่วนขุนคลัง “กรณ์ จาติกวณิช” เจ้าของนโยบายมั่นใจว่าไม่เกิน 2 เดือนน่าจะเต็มวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาทแถมยังแย้มออกมาอีกว่าหากได้กลับมานั่งเก้าอี้ริมคลองประปาต่อจะเข็นโครงการแปลงค่าเช่าเป็นค่าผ่อนบ้านต่ออีกด้วยช่วยให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตัวเอง เล่นเรียกคะแนนเสียงตุนไว้ขนาดนี้พรรคคู่แข่งชักหนาวๆ ร้อนๆ !
ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงอย่างรวดเร็วได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลให้เหมาะสม ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันเอาเปรียบประชาชนมากกินไป โดยมองว่าราคาหน้าปั๊มก็ควรจะปรับลดลงมาด้วยเช่นกัน แต่ทางผู้ประกบการเองอาจจะมีการสต็อกน้ำมันไว้ช่วงที่ราคาสูงจึงต้อรอให้บริหารสต็อกเก่าให้หมดก่อน
แต่ยังยืนยันว่าจะยังไม่มีการทบทวนประเด็นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในขณะนี้โดยจะลดภาษีไปถึงเดือนกันยายนตามเดิม แต่หากราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงมาต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้มีช่องว่างให้เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ก็ควรจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปก่อน เพื่อให้มีความมั่นคงด้านการดูแลพลังงานในระยะยาว …
พูดถึงเรื่องหาเสียงแล้วนโยบายต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณกันทั้งนั้นแต่ต้องไม่ลืมการหารายได้ของรัฐบาลด้วย หลายพรรคหยิบยกเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดาออกมาเป็นแคมเปญหาเสียงกัน “สาธิต รังคสิริ” อธิบดีกรมสรรพากร ให้ความเห็นว่าเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ต้องมาดูว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร ที่สำคัญต้องดูว่าการปรับลดภาษีแต่ละตัวนั้นมีผลกระทบต่อฐานะการคลัง และวินัยการคลังหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อธิบดียืนยันว่าปีงบประมาณนี้เก็บภาษีเกินกว่าเป้าหมาย 1.4 แสนล้านบาทแน่นอน
ข้ามไปที่กรมสรรพสามิตก็ไม่น้อยหน้า อธิบดี “พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์” แถลงโชว์ผลงานเก็บภาษีเดือนเมษายนถึง 3.9 หมื่นล้าน สูงกว่าเป้า6.6 พันล้าน รวม 7 เดือนแรกของปีงบประมาณกรมสรรพสามิตรับเละ 2.67 แสนล้านแล้ว
ขณะที่บิ๊กสคร. “ดร.อู้ - สมชัย สัจจพงษ์” ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ แข่งกันทำผลงานบี้รายได้จากรัฐวิสาหกิจเดือนเมษายนรวมแล้วถึง 2.1 หมื่นล้านบาท รวมยอดรายได้จากต้นปีงบประมาณทั้งสิ้น 6.3 หมื่นล้านบาท
เห็นฝีมือของอธิบดีหนุ่มไฟแรงแต่ละกรมของกระทรวงการคลังทำผลงานแข่งกันโดดเด่นอย่างนี้ ฝ่ายการเมืองคงเตรียมนโยบายประชานิยมใช้เงินกันเป็นว่าเล่นแน่นอน
แต่อย่าลืมล่ะทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษีจากประชาชนทั้งนั้นจะใช้จ่ายอะไรก็ควรให้เกิดประโยชน์สูงสุด นโยบายต่างๆ แน่นอนว่าต้องการทำเพื่อประชาชนแต่สิ่งที่ต้องระวังคือฐานะทางการคลังและวินัยการคลัง … อยากเห็นประเทศชาติเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ...
ส่วนขุนคลัง “กรณ์ จาติกวณิช” เจ้าของนโยบายมั่นใจว่าไม่เกิน 2 เดือนน่าจะเต็มวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาทแถมยังแย้มออกมาอีกว่าหากได้กลับมานั่งเก้าอี้ริมคลองประปาต่อจะเข็นโครงการแปลงค่าเช่าเป็นค่าผ่อนบ้านต่ออีกด้วยช่วยให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตัวเอง เล่นเรียกคะแนนเสียงตุนไว้ขนาดนี้พรรคคู่แข่งชักหนาวๆ ร้อนๆ !
ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงอย่างรวดเร็วได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลให้เหมาะสม ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันเอาเปรียบประชาชนมากกินไป โดยมองว่าราคาหน้าปั๊มก็ควรจะปรับลดลงมาด้วยเช่นกัน แต่ทางผู้ประกบการเองอาจจะมีการสต็อกน้ำมันไว้ช่วงที่ราคาสูงจึงต้อรอให้บริหารสต็อกเก่าให้หมดก่อน
แต่ยังยืนยันว่าจะยังไม่มีการทบทวนประเด็นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในขณะนี้โดยจะลดภาษีไปถึงเดือนกันยายนตามเดิม แต่หากราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงมาต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้มีช่องว่างให้เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ก็ควรจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปก่อน เพื่อให้มีความมั่นคงด้านการดูแลพลังงานในระยะยาว …
พูดถึงเรื่องหาเสียงแล้วนโยบายต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณกันทั้งนั้นแต่ต้องไม่ลืมการหารายได้ของรัฐบาลด้วย หลายพรรคหยิบยกเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดาออกมาเป็นแคมเปญหาเสียงกัน “สาธิต รังคสิริ” อธิบดีกรมสรรพากร ให้ความเห็นว่าเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ต้องมาดูว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร ที่สำคัญต้องดูว่าการปรับลดภาษีแต่ละตัวนั้นมีผลกระทบต่อฐานะการคลัง และวินัยการคลังหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อธิบดียืนยันว่าปีงบประมาณนี้เก็บภาษีเกินกว่าเป้าหมาย 1.4 แสนล้านบาทแน่นอน
ข้ามไปที่กรมสรรพสามิตก็ไม่น้อยหน้า อธิบดี “พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์” แถลงโชว์ผลงานเก็บภาษีเดือนเมษายนถึง 3.9 หมื่นล้าน สูงกว่าเป้า6.6 พันล้าน รวม 7 เดือนแรกของปีงบประมาณกรมสรรพสามิตรับเละ 2.67 แสนล้านแล้ว
ขณะที่บิ๊กสคร. “ดร.อู้ - สมชัย สัจจพงษ์” ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ แข่งกันทำผลงานบี้รายได้จากรัฐวิสาหกิจเดือนเมษายนรวมแล้วถึง 2.1 หมื่นล้านบาท รวมยอดรายได้จากต้นปีงบประมาณทั้งสิ้น 6.3 หมื่นล้านบาท
เห็นฝีมือของอธิบดีหนุ่มไฟแรงแต่ละกรมของกระทรวงการคลังทำผลงานแข่งกันโดดเด่นอย่างนี้ ฝ่ายการเมืองคงเตรียมนโยบายประชานิยมใช้เงินกันเป็นว่าเล่นแน่นอน
แต่อย่าลืมล่ะทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษีจากประชาชนทั้งนั้นจะใช้จ่ายอะไรก็ควรให้เกิดประโยชน์สูงสุด นโยบายต่างๆ แน่นอนว่าต้องการทำเพื่อประชาชนแต่สิ่งที่ต้องระวังคือฐานะทางการคลังและวินัยการคลัง … อยากเห็นประเทศชาติเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ...