xs
xsm
sm
md
lg

อนาคต “อีลิทการ์ด” ไม่หลุดพ้นวังวนเน่า ไขปริศนา ปชป.ไม่กล้าแตะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป็นเวลา 2 ปีเศษ แล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.2552 ที่คณะรัฐมนตรี โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีมติสั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้ถือหุ้นในบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในสัดส่วนรวม 100% ผู้บริหารบัตรอีลิทการ์ดไปศึกษาแนวทางการยกเลิกโครงการบัตรสมาชิกพิเศษไทยแลนด์อิลิทการ์ด เพราะเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมีผลขาดทุนต่อเนื่องมาตลอดการดำเนินงาน

จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครออกมาฟันธงได้อย่างชัดเจนว่าจะยุบโครงการอีลิทการ์ดหรือไม่ หรือ จะเป็นแมวเก้าชีวิต, เป็นแวมไพร์ ที่ไม่มีวันตาย อยู่สูบเลือด เป็นเงินภาษีรัฐบาลอย่างนี้ต่อไป รอจนกว่าการเมืองเปลี่ยนขั้ว แล้วค่อยฟื้นคืนชีพ

มีมุมมองบางอย่างที่เป็นไปได้ ว่า “อีลิทการ์ด....ไม่มีวันตาย” ทั้งนี้ เพราะหลายฝ่ายยอมรับว่า อีลิทการ์ด เป็นโครงการที่แนวคิดดี แต่การดำเนินการจัดตั้ง การร่างแผนธุรกิจต้องใช้คำว่า แย่มาก!!! ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องการทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อสนองแนวคิดของรัฐบาลในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังเรืองอำนาจ จนทำให้โครงการดังกล่าวมีจุดอ่อนให้โจมตีได้ตลอด และมีกระแสข่าวว่าจะยกเลิกโครงการนี้ตลอดเวลา

เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนขั้วอำนาจ มาเข้าสู่ยุคของพรรคประชาธิปัตย์ แน่นอนว่า การเปลี่ยนขั้วย่อมหมายถึงการเริ่มขบวนการล้างไพ่โครงการที่ไม่ตรงกับนโยบายของพรรค และเป็นโครงการที่ทำแล้วสามารถเรียกคะแนนนิยมได้อีกมากโข แต่สิ่งที่ทำให้อีลิทการ์ดยัง หนังเหนียว...อยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเงินเก็บจากการขายบัตรสมาชิกที่มีอยู่ ผนวกกับจำนวนสมาชิกระดับวีไอพี อีกกว่า 2,500 คน ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ ทำให้รัฐบาลยังไม่กล้าฟันทิ้งโครงการนี้ด้วยเกรงจะส่งผลเสียถึงภาพลักษณ์ด้านความเชื่อมั่นประเทศไทย

การเตรียมเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลโครงการอีลิทการ์ด ได้เริ่มก่อตัวขึ้นตามแนวทางการหาทางออกให้บริษัท จากผลการศึกษาของ ททท.ซึ่งในคราวนั้นมีผลตามมา ว่า มีเอกชนสนใจที่จะซื้อบริษัทนี้อย่างแน่นอน ด้วยสิทธิพิเศษในเรื่องของ Special Entry Visa และเงินสดที่บริษัทยังเหลืออยู่ขณะนั้นอีกกว่า 500 ล้านบาท กลุ่มทุนที่มีความสนใจมีทั้งภาคเอกชน และกลุ่มทุนที่มีการเมืองอยู่ข้างหลัง ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว

อย่างเช่น กลุ่ม บริษัท คิงเพาเวอร์ และบางกระแสก็ระบุว่า มีกลุ่มทุนจากนักการเมืองอย่าง กลุ่มทุนของชินวัตร ที่ริเริ่มโครงการนี้ ด้วยหวังเรื่องของ Special Entry Visa แม้แต่ ทุนการเมืองจากพรรคเจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็มีความสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ทุกทุนก็ต้องถอยหนี

ด้วยผลการตีความของกฤษฎีกา ที่ว่า “ผู้ซื้อกิจการไปจะไม่ได้รับสิทธิ Special Entry Visa เนื่องจากสิทธิเป็นของภาครัฐ มิใช่สิทธิของบริษัทจำกัด” กับเงินสดที่ร่อยหรอเหลือแค่ 200 ล้านบาทเศษ ทำให้ อีลิทการ์ด หมดเสน่ห์ที่จะดึงดูดนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม จากเหตุผลที่ “ฆ่าได้ก็ไม่คุ้มเสีย” จึงค่อนข้างแน่นอนว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเสนอเป็นทางเลือกให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายในเดือนมีนาคมนี้ว่า ให้พาอีลิทการ์ด เข้าไปหลบอยู่ในปีกของ ททท.เป็นทางออกสุดท้าย!!! รอวันการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอีกครั้ง เพราะเชื่อแน่ว่า หากอีกขั้วหนึ่งเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศจะต้องปัดฝุ่นโครงการอีลิทการ์ดให้ผงาดแบบเงียบๆ ได้อีกครั้ง เพื่อใช้เป็นแขนเป็นขา ต่อยอดทางธุรกิจหรือเพื่อผลประโยชน์ให้กับใครบางคน แม้วันนี้จะฟันธงไม่ได้ว่าจะปิดอีลิทการ์ดหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อีลิทการ์ด กับการเมือง แยกกันไม่ออกจริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น