ก.พลังงาน เร่งหารือ ก.อุตฯ แยกประเภทผู้ใช้ “แอลพีจี” หลังนโยบายรัฐยกเลิกอุดหนุน “แอลพีจี” ในภาคอุตฯ พร้อมหามาตรการช่วย “เอสเอ็มอี” ที่อาจได้รับผลกระทบ คาดได้ข้อสรุปอีก 2 สัปดาห์ ส่วนเหตุการณ์ประท้วงใน ตอ.กลาง ยันไม่กระทบราคาก๊าซ เอกชน จี้แก้ กม.กำหนดเกณฑ์ผู้ใช้ก๊าซเกิน 500 กก./เดือน ต้องใช้ราคา-ขนาดถัง อัตราเดียวกับ รง.ขนาดใหญ่ เพิ่มเป็น 1,000 กก./เดือน เตรียมเปิดรับฟังความเห็น 11 มี.ค.นี้ แย้มการประกาศใช้ ต้องพิจารณาเรื่องความปลอดภัย และความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ
นายพีระพล สาครินทร์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการหารือเรื่องการวางแผนช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการปล่อยลอยตัวก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ซึ่งจะเริ่มทยอยปรับขึ้นราคาในเดือนกรกฎาคม 2554 นี้ โดยคาดว่าจะได้ผลสรุปภายใน 2 สัปดาห์ ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการนำเข้าแอลพีจี
ทั้งนี้ รัฐบาลจะมีการตรึงราคาแอลพีจีในภาคครัวเรือน พร้อมทยอยปรับขยับขึ้นราคาในภาคยานยนต์ และปล่อยลอยตัวภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี เช่น เซรามิก แก้ว กระจก จึงเร่งหามาตรการช่วยเหลือมารองรับ
ส่วนกรณีภาคอุตสาหกรรมและสมาคมผู้ค้าก๊าซธรรมชาติ ยื่นหนังสือขอให้กรมธุรกิจพลังงาน ทบทวนร่างประกาศกระทรวง ที่จะกำหนดให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ใช้แอลพีจีมากกว่า 500 กิโลกรัมต่อเดือน ต้องใช้ราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม และเปลี่ยนภาชนะการบรรจุแอลพีจีจากถังก๊าซครัวเรือนเป็นถังอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยภาคเอกชนเสนอให้ปรับเพิ่มเป็นใช้แอลพีจี 1,000 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งเรื่องนี้ กรมธุรกิจพลังงานจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอีกครั้งในวันที่ 11 มีนาคม 2554 นี้ ก่อนจะมีการประกาศใช้ต่อไป โดยจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับตัวเลขใดนั้นต้องดูเรื่องความปลอดภัยและความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจด้วย
ด้าน นายวีระพล จิระประดิษฐ์กุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศแถบตะวันออกกลาง ไม่ได้ส่งผลกระทบให้ราคาแอลพีจีปรับตัวสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน เพราะราคาแอลพีจีจะเคลื่อนไหวตามสภาพอากาศมากกว่า โดยราคาแอลพีจีในเดือนมีนาคม 2554 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 830 ดอลลาร์ต่อตัน สูงขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งอยู่ในระดับ 813 ดอลลาร์ต่อตัน และคาดว่า ราคาแอลพีจีเฉลี่ยในตลาดโลกปีนี้จะอยู่ในระดับ 800 ดอลลาร์ต่อตัน
