xs
xsm
sm
md
lg

โพล ชี้ เยาวชนไม่รู้ว่า “มาฆบูชา” วันไหน “ค้าภายใน” เข้มสังฆทานแพง-ด้อยคุณภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจเยาวชน 65.4% ไม่รู้ว่าวันไหนเป็นวันมาฆบูชา ส่วนหลักธรรมสำคัญ โอวาทปาฏิโมกข์ มีคนรู้จักแค่ 27.7% แต่เยาวชนส่วนใหญ่ ยังให้ความสำคัญกับการทำบุญในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ด้าน “ค้าภายใน” ออกสุ่มตรวจชุดสังฆทาน ป้องกันฉวยโอกาสขึ้นราคา และใช้สินค้าไม่ได้มาตรฐาน

นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ความรู้ ความเข้าใจของเด็ก-เยาวชนไทยเกี่ยวกับวันมาฆบูชา และความตั้งใจที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ในวันมาฆบูชา กรณีศึกษาตัวอย่างเยาวชนอายุ 12-24 ปี ที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวน 1,325 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ 2554 โดยผลการสำรวจ พบว่า มีเพียงร้อยละ 34.6 ทราบและระบุได้ถูกต้อง ว่าวันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ขณะที่เยาวชนร้อยละ 65.4 ไม่ทราบว่าเป็นวันไหน

สำหรับผลสำรวจเมื่อสอบถามการรับรู้ในหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงในวันมาฆบูชานั้น พบว่า มีตัวอย่างเพียง ร้อยละ 37.3 เท่านั้น ที่สามารถระบุได้อย่างถูกต้องว่าคือ “โอวาทปาฏิโมกข์” ในขณะที่ตัวอย่างประมาณ 2 ใน 3 คือ ร้อยละ 62.7 ไม่ทราบ/ระบุไม่ถูกต้อง

ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ เมื่อได้สอบถามต่อไปว่าหลักธรรมโอวาทปาฏิโมกข์ หมายถึงอะไรนั้น พบว่า มีอยู่เพียงร้อยละ 27.7 เท่านั้นที่สามารถสรุปใจความสำคัญของหลักธรรมดังกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าหมายถึง “การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” นอกจากนั้น คือ ร้อยละ 12.9 ระบุความหมายของโอวาทปาฏิโมกข์ในแบบอื่นๆ อาทิ หมายถึงการเดินทางสายกลาง การดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ในขณะที่ร้อยละ 51.0 ระบุถูกทุกข้อที่กล่าวมา และร้อยละ 8.4 ระบุไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร

สำหรับกิจกรรมที่จะทำในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ พบว่า ร้อยละ 72.2 ระบุจะทำบุญตักบาตร ร้อยละ 50.9 ระบุร่วมพิธีเวียนเทียน ร้อยละ 42.0 ระบุใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และรองๆ ลงมา คือ ถวายสังฆทาน ทำความสะอาดบ้านเรือน ปล่อยนก ปล่อยปลา บริจาค ทำทานสงเคราะห์ผู้อื่น เข้าวัดฟังธรรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนา และช่วยงานชุมชน/สาธารณะ เป็นต้น

ส่วนพฤติกรรมที่เยาวชนไทยตั้งใจจะลด ละ เลิกในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ ได้แก่ เลิกนิสัยการพูดไม่ดี เช่น พูดปด โกหก นินทาว่าร้าย พูดส่อเสียด ไร้สาระ เป็นต้น ลดการดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกเล่นการพนัน/อบายมุข เลิกลักเล็กขโมยน้อย เลิกขี้เกียจ เลิกใช้ยาเสพติด เลิกทำสิ่งผิดกฎหมาย เลิกทะเลาะวิวาทกับคนอื่น/ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นต้น

ที่น่าพิจารณา คือ สิ่งที่เยาวชนไทยต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อส่งเสริมงานด้านพระพุทธศาสนา พบว่า ร้อยละ 65.7 ระบุจัดให้มีงานนิทรรศการ/กิจกรรมทางศาสนาในวันสำคัญเป็นประจำ ร้อยละ 32.9 ระบุรณรงค์ให้กลุ่มเยาวชนหันมาสนใจ และเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาให้มากขึ้น อาทิ ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ ถือศีล 5 เป็นต้น ร้อยละ 15.5 ระบุจัดสรรงบประมาณในการบำรุงรักษา ศาสนสถานต่างๆ ร้อยละ 1.5 ดูแลพระภิกษุ/สามเณรไม่ให้ทำผิดศีลธรรม และร้อยละ 1.4 ระบุอื่น ๆ อาทิ การรักษาความปลอดภัยภายในวัด/ให้จัดกิจกรรมในวัดให้มากขึ้น เป็นต้น

กลุ่มเด็กและเยาวชนไทยที่ให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชามากกว่าวันวาเลนไทน์ มีจำนวนมากกว่า กลุ่มเด็กที่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา คือ ร้อยละ 43.2 ต่อร้อยละ 6.4 อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 27.3 ให้ความสำคัญเท่ากันทั้ง 2 วัน และร้อยละ 23.1 ไม่มีความเห็น

นายนพดล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการสำรวจครั้งนี้ พบว่า ความรู้ความเข้าใจ และการให้ความสำคัญของเด็กและเยาวชนต่อวันมาฆบูชาอยู่ในเกณฑ์น้อย และเมื่อพิจารณาด้านการประพฤติปฏิบัติตนทางศาสนาแล้ว พบว่า อยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วงเพราะเด็กมีความตั้งใจน้อยมากในเรื่องการเข้าวัดฟังเทศน์ ฟังธรรม และการนั่งสมาธิเจริญภาวนา

นอกจากนี้ เด็กบางส่วนตั้งใจจะ ลด ละ เลิก สิ่งที่ไม่ดีไม่งามในวันมาฆบูชา แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับไปทำผิดซ้ำอีก เพราะสภาพแวดล้อมชุมชน สถานศึกษา สื่อมวลชน การโฆษณา กลุ่มเพื่อน ความเคยชิน และครอบครัว เป็นปัจจัยชี้ชวนนำที่มีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน และผู้ใหญ่ในสังคมให้ความสำคัญกับระบบคุณธรรม หลักศาสนาของทุกศาสนา กระตุ้นให้เด็กและเยาวชนแปลงความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เสริมความตระหนักและจิตสำนึก สู่แนวทางปฏิบัติในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนเป็นสถาบันที่สำคัญและมีผลชี้นำชี้แนะที่สร้างสรรค์ให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนได้อย่างมาก สถาบันสื่อมวลชนจึงน่าที่จะช่วยกันรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนหันมาสนใจวันสำคัญทางศาสนา และแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ดีไม่ใช่มีแต่เพียงความตั้งใจเท่านั้น นอกจากนี้กลุ่มพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ทั้งหลายควรใช้โอกาสวันมาฆบูชานี้ทำให้ความตั้งใจของเด็กและเยาวชนบรรลุถึงกิจกรรมที่ดีได้

นอกจากนี้ โรงเรียนและชุมชนควรจัดสร้างบรรยากาศของการทำความดีให้เกิดขึ้นโดยมีกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำบุญตักบาตรร่วมกัน การทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อโรงเรียนและชุมชน เป็นต้น ผลที่ตามมาก็คือ เด็กและเยาวชนของสังคมน่าจะสามารถบรรลุถึงความสำเร็จในการทำกิจกรรมที่ดีตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาได้อย่างยั่งยืนต่อไป ดร.นพดล กล่าว

**ค้าภายใน คุมเข้มสังฆทานด้อยคุณภาพ

นายสุทธิศักดิ์ พรหมบุตร การค้าภายในจังหวัดสุรินทร์ กล่าวภายหลังการตรวจติดตามการจำหน่วยสินค้าชุดสังฆทานของร้านค้าในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ พบว่า ในช่วงวันมาฆบูชาหรือเทศกาลวันสำคัญทางพุทธศาสนา ประชาชนนิยม ซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค รวมถึงชุดสังฆทาน เพื่อไปทำบุญถวายพระที่วัด ซึ่งมักจะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ชุดสังฆทานที่จำหน่ายมีราคาสูงเกินสมควร ไม่มีการแสดงราคาสินค้าอย่างถูกต้อง สินค้าบางอย่างไม่เหมาะสมกับราคา หรือมีสินค้าที่เสื่อมคุณภาพ หมดอายุ หรือใกล้หมดอายุบรรจุไว้ในชุดสังฆทาน ถือว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้บริโภค

ซึ่งที่ผ่านมา ได้เน้นย้ำขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ร้านค้าได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้มีการปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีกสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจน และต้องไม่จำหน่ายเกินราคาที่แสดงไว้ในป้าย ไม่นำสินค้าใกล้หมดอายุหรือเสื่อมสภาพมาบรรจุในชุดสังฆทาน

การค้าภายในจังหวัดสุรินทร์ กล่าวด้วยว่า จาการออกตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าในวันนี้ ยังไม่พบมีการกระทำผิดแต่อย่างใด แต่ก็ได้กำชับให้ผู้ประกอบการ เจ้าของร้านค้า ได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะหากฝ่าฝืนและตรวจพบ จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

นอกจากนี้ หากจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงเกินสมควร มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม หากประชาชนได้รับความไม่เป็นธรรมในการซื้อสินค้าหรือบริการ แจ้งได้ที่ สำนักงานการค้าภายในจังหวัดสุรินทร์ โทรศัพท์ 044-516098, 044-530020 หรือสายด่วน 1569

ด้าน นายนิตยา หมื่นอนันต์ การค้าภายในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้มีการออกตรวจ ติดตามการจำหน่ายชุดสังฆทานตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ใน จ.เชียงใหม่ เนื่องจากเป็นช่วงใกล้วันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนา ประชาชนนิยมซื้อชุดสังฆทานไปทำบุญถวายพระที่วัด ทั้งนี้ เพื่อตรวจติดตามว่ามีการจำหน่ายชุดสังฆทานในราคาสูงเกินสมควรหรือไม่ และดูวันหมดอายุ รวมถึงการติดป้ายแสดงราคากำกับรายการสินค้าแต่ละชนิด เป็นต้น

ทั้งนี้ พบว่า มีบางห้างที่นำชุดสังฆทานที่ส่งมาจากส่วนกลางเข้ามาจำหน่าย และมีสินค้าใกล้หมดอายุแล้ว จึงได้ตักเตือนและให้เก็บออกจากชั้นวางจำหน่าย และขอให้ผู้บริโภคช่วยกันตรวจสอบสินค้าอย่างละเอียดก่อนเลือกซื้อ และหากพบเห็นการเอาเปรียบ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่การค้าภายในจังหวัด หรือสายด่วนแม่บ้าน 1569 ได้ทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น