เริ่มกันที่แวดวงตลาดเงินตลาดทุน มีข้อมูลที่นักเก็งกำไร นักลงทุนต้องติดตาม เป็นข้อมูลจากแบงก์ชาติว่าด้วยเรื่องการโยกเงิน สัปดาห์ก่อน ต่างชาติขายหุ้นแต่ยังไม่นำเงินออก ส่วนใหญ่พักไว้ที่ตลาดพันธบัตร รอการตัดสินใจอีกครั้ง! ล่าสุดถึงคิวเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ เริ่มมีการโยกออก "กันบ้างแล้ว!!.."
ประเด็นสำคัญ ปีนี้ "สถาบันเงินคุ้มครองเงินฝาก หรือ สคฝ." มีการลดสัดส่วนการคุ้มครองลงมาเหลือ 50 ล้านบาทต่อรายบุคคลต่อสถาบันการเงิน เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.54 จากช่วงที่ผ่านมา เคยคุ้มครองแบบ "เต็มจำนวน!..."
เงินที่เริ่มย้ายออกตอนนี้ แทนที่ไปซื้อทอง ซื้ออสังหาฯ กลับไปลงทุนในหุ้นกู้ และแน่นอน ลงในตลาดพันธบัตรเช่นกัน เพราะผลตอบแทนดีกว่า อย่างน้อยดีกว่าตลาดหุ้น ที่กำลังผันผวนแบบขาลง เหตุผลหลัก เกิดจากความวุ่นวายในอียิปต์ ที่ยังไม่มีวี่แววจะจบใน 1-2 วัน "แน่ๆ!..."
"สรสิทธิ์ สุนทรเกศ" ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน แบงก์ชาติ บอกว่าความเคลื่อนไหวของเงินฝากในช่วงนี้ เป็นการปรับตัวของผู้ออมเงินแต่ละราย ที่ต้องการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง เป็นเรื่องที่ติดตามแต่ไม่ควร "ตื่นตระหนก!!!..."
"สรสิทธิ์" ยืนยันว่าแบงก์พาณิชย์ไม่มีปัญหา เพราะต่างมีแผนรองรับไว้แล้ว ทั้งแนวทางเชิงรุก ทั้งการให้ความรู้ผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะผ่านสาขาที่เป็นเครือข่ายที่สำคัญ ขณะเดียวกันทั้งแบงก์ชาติและสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พยามสร้างความเข้าใจในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้พนักงานแบงก์และลูกค้าเงินฝากตื่นตระหนก...จะบอกว่าฟากแบงก์พาณิชย์ ไม่น่าหนักใจ ว่างั้นเถอะ??!!..
ไปต่อกันที่ผู้ว่า "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" สัปดาห์ที่ผ่านมา ออกมาเสนอให้รัฐบาล เพิ่มงบลงทุนด้านสาธารณูปโภคมากขึ้น "ประสาร" เชื่อว่า โครงการที่วางรากฐานให้ประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทย ขยายตัวแบบแข็งแกร่งและยั่งยืน "สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่นับวันยิ่งซับซ้อน..."
สิ่งที่ผู้ว่า "ประสาร" เสนอ เชื่อว่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัย "เห็นด้วย" แต่ไม่ปฏิบัติ เพราะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่เป้าหมายหลักของนักการเมือง มนุษย์พันธุ์พิเศษอย่างนักการเมือง เล็งผลเลิศที่ "ค่าหัวคิว" โครงการงาบ! ยิ่งมากยิ่งดี งบประมาณส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับว่าโครงการไหน "โกงง่าย" ได้เงินเข้ากระเป๋ามากกว่ากัน ส่วนผลประโยชน์ชาติ "เอาไว้ทีหลัง?@!..."
ทว่า ยิ่งอนาถใจยิ่งขึ้น แนวคิดของผู้ว่าฯ คงเป็นเพียงความฝัน เมื่อดูผลสำรวจหรือโพลว่าด้วยเรื่องคอร์รัปชัน พบว่า คนส่วนใหญ่รับได้หากรัฐโกงแต่ตัวเองอยู่ดีกินดี โดยร้อยละ 64 ระบถว่า หากรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ตัวเองได้ประโยชน์ด้วย ก็ยอมให้โกง! นอกจากนี้ร้อยละ 65.8 ระบุว่า "ยินยอมขายเสียง!!!..."
ยังไงก็แล้วแต่ อย่าเพิ่งเลิกหวังกันไปหมด น่าสังเกตว่าโพลชิ้นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก! สำนักเอแบคโพลล์ที่มี "นพดล กรรณิกา" เป็นหัวเรือใหญ่ มักจะทำโพลที่เป็นคุณกับ "พ่อมาร์ครูปหล่อ" จึงต้องฟังหูไว้หูว่าโพลที่เบื้องหลังหรือไม่??..
ยิ่งตอนนี้แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศยกระดับการชุมนุมแถมชูประเด็น "รัฐบาลโคตรโกง" ขึ้นมาปราศรัยด้วย การออกโพลชิ้นนี้จึงน่าสงสัยว่า หวังให้การโกงของรัฐบาลเป็นเรื่องชอบธรรม ใช่หรือไม่ "นพดล" ช่วยตอบหน่อย สิพ่อ???@!!!...
ประเด็นสำคัญ ปีนี้ "สถาบันเงินคุ้มครองเงินฝาก หรือ สคฝ." มีการลดสัดส่วนการคุ้มครองลงมาเหลือ 50 ล้านบาทต่อรายบุคคลต่อสถาบันการเงิน เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.54 จากช่วงที่ผ่านมา เคยคุ้มครองแบบ "เต็มจำนวน!..."
เงินที่เริ่มย้ายออกตอนนี้ แทนที่ไปซื้อทอง ซื้ออสังหาฯ กลับไปลงทุนในหุ้นกู้ และแน่นอน ลงในตลาดพันธบัตรเช่นกัน เพราะผลตอบแทนดีกว่า อย่างน้อยดีกว่าตลาดหุ้น ที่กำลังผันผวนแบบขาลง เหตุผลหลัก เกิดจากความวุ่นวายในอียิปต์ ที่ยังไม่มีวี่แววจะจบใน 1-2 วัน "แน่ๆ!..."
"สรสิทธิ์ สุนทรเกศ" ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน แบงก์ชาติ บอกว่าความเคลื่อนไหวของเงินฝากในช่วงนี้ เป็นการปรับตัวของผู้ออมเงินแต่ละราย ที่ต้องการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง เป็นเรื่องที่ติดตามแต่ไม่ควร "ตื่นตระหนก!!!..."
"สรสิทธิ์" ยืนยันว่าแบงก์พาณิชย์ไม่มีปัญหา เพราะต่างมีแผนรองรับไว้แล้ว ทั้งแนวทางเชิงรุก ทั้งการให้ความรู้ผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะผ่านสาขาที่เป็นเครือข่ายที่สำคัญ ขณะเดียวกันทั้งแบงก์ชาติและสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พยามสร้างความเข้าใจในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้พนักงานแบงก์และลูกค้าเงินฝากตื่นตระหนก...จะบอกว่าฟากแบงก์พาณิชย์ ไม่น่าหนักใจ ว่างั้นเถอะ??!!..
ไปต่อกันที่ผู้ว่า "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" สัปดาห์ที่ผ่านมา ออกมาเสนอให้รัฐบาล เพิ่มงบลงทุนด้านสาธารณูปโภคมากขึ้น "ประสาร" เชื่อว่า โครงการที่วางรากฐานให้ประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทย ขยายตัวแบบแข็งแกร่งและยั่งยืน "สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่นับวันยิ่งซับซ้อน..."
สิ่งที่ผู้ว่า "ประสาร" เสนอ เชื่อว่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัย "เห็นด้วย" แต่ไม่ปฏิบัติ เพราะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่เป้าหมายหลักของนักการเมือง มนุษย์พันธุ์พิเศษอย่างนักการเมือง เล็งผลเลิศที่ "ค่าหัวคิว" โครงการงาบ! ยิ่งมากยิ่งดี งบประมาณส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับว่าโครงการไหน "โกงง่าย" ได้เงินเข้ากระเป๋ามากกว่ากัน ส่วนผลประโยชน์ชาติ "เอาไว้ทีหลัง?@!..."
ทว่า ยิ่งอนาถใจยิ่งขึ้น แนวคิดของผู้ว่าฯ คงเป็นเพียงความฝัน เมื่อดูผลสำรวจหรือโพลว่าด้วยเรื่องคอร์รัปชัน พบว่า คนส่วนใหญ่รับได้หากรัฐโกงแต่ตัวเองอยู่ดีกินดี โดยร้อยละ 64 ระบถว่า หากรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ตัวเองได้ประโยชน์ด้วย ก็ยอมให้โกง! นอกจากนี้ร้อยละ 65.8 ระบุว่า "ยินยอมขายเสียง!!!..."
ยังไงก็แล้วแต่ อย่าเพิ่งเลิกหวังกันไปหมด น่าสังเกตว่าโพลชิ้นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก! สำนักเอแบคโพลล์ที่มี "นพดล กรรณิกา" เป็นหัวเรือใหญ่ มักจะทำโพลที่เป็นคุณกับ "พ่อมาร์ครูปหล่อ" จึงต้องฟังหูไว้หูว่าโพลที่เบื้องหลังหรือไม่??..
ยิ่งตอนนี้แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศยกระดับการชุมนุมแถมชูประเด็น "รัฐบาลโคตรโกง" ขึ้นมาปราศรัยด้วย การออกโพลชิ้นนี้จึงน่าสงสัยว่า หวังให้การโกงของรัฐบาลเป็นเรื่องชอบธรรม ใช่หรือไม่ "นพดล" ช่วยตอบหน่อย สิพ่อ???@!!!...