กบง.มีมติใช้เงินกองทุนฯ อุดหนุนราคาน้ำมันเพิ่มอีก 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อแก้ปัญหาดีเซลเกินระดับ 30 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งพรวดรับปี 54 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 27 เดือน ส่งผลให้กองทุนฯ ต้องจ่ายอุดหนุนรวมเป็นลิตรละ 1 บาท “พลังงาน” เลื่อนประกาศขายดีเซล บี5 เกรดเดียว ม.ค.นี้ หลังน้ำมันปาล์มขาดแคลนหนัก
มีรายงานข่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการการใช้กรอบวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 5,000 ล้านบาท มาอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เพิ่มเติม ทั้งไบโอดีเซล บี3 และไบโอดีเซล บี5 โดยมีการอุดหนุนเพิ่มอีกเฉลี่ยลิตรละ 50 สตางค์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ใช้เงินในการอุดหนุนไปแล้วลิตรละ 50 สตางค์
โดยการประชุม กบง.วันนี้ ได้มีการหารือเรื่องการอุดหนุนราคาดีเซลเพิ่มเติมจากวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ กพช.ได้อนุมัติกรอบการช่วยเหลือไว้ที่ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้าได้อุดหนุนดีเซลแล้วลิตรละ 50 สตางค์ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา
การชดเชยดังกล่าวมีผลให้ราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลง โดยราคาดีเซล บี3 อยู่ที่ลิตรละ 29.99 บาท และไบโอดีเซล บี5 อยู่ที่ลิตรละ 29.55 บาท
สำหรับมาตรการอุดหนุนครั้งนี้ ถือเป็นการดูแลระดับราคาน้ำมันมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 50 สตางค์ต่อลิตร มีผล 8 ธันวาคม 2553 และต่อมา คือ วงเงิน 5,000 ล้านบาท ด้วยการอุดหนุนอีก 50 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งหากดูราคาจริงๆ น้ำมันดีเซล ถ้าไม่อุดหนุนก็คงจะต้องบวกไป 1 บาทต่อลิตร และจะต้องรวมกับ กบง.ครั้งนี้อีก ก็น่าจะบาทกว่า
ทั้งนี้ การอนุมัติในครั้งแรก มีผลให้ราคาขายปลีกลดลงไปเพียง 30 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น เพราะค่าการตลาดต่ำ และวันนี้ กบง.เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปอุดหนุนเพิ่ม เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการปรับราคาขายปลีกเพิ่มอีก
รายงานเพิ่มเติมระบุว่า กระทรวงพลังงาน จะเลื่อนการประกาศการจำหน่ายน้ำมันดีเซลเหลือเพียงเกรดเดียว คือ ไบโอดีเซล บี5 ออกไป คาดว่า จะเริ่มประกาศใช้ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จากเดิมจะประกาศเริ่มจำหน่ายในกลางเดือนมกราคม 2554 เนื่องจากผลผลิตน้ำมันปาล์มออกสู่ตลาดน้อยมาก เพราะเกษตรกรประสบปัญหาภัยธรรมชาติจากภาวะภัยแล้ง และน้ำท่วมเมื่อปี 2552 ส่งผลให้ปัจจุบันน้ำมันปาล์มมีไม่เพียงพอต่อการนำมาทำเป็นไบโอดีเซล บี5
ดังนั้น จึงต้องเลื่อนนโยบายดังกล่าวออกไป โดยปัจจุบันประเทศไทยยังคงจำหน่ายน้ำมันดีเซลเป็น 2 ประเภทอยู่ คือ น้ำมันไบโอดีเซล บี3 และน้ำมันไบโอดีเซล บี5
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า ขณะนี้ น้ำมันปาล์มดิบสำรองเหลือเพียง 70,000 - 80,000 ตัน จากปกติที่ควรมี 120,000-150,000 ตัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคในประเทศมากกว่าการนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล เพราะปริมาณการบริโภตต้องใช้ถึงปีละ 900,000 ตัน
ขณะที่การนำมาทำเป็นพลังงานใช้เพียงปีละ 380,000 ตัน ทั้งมีแนวโน้ม ว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติของ กระทรวงพาณิชย์ อาจมีการเสนอให้นำเข้าน้ำมันปาล์ม เพี่อให้มีปริมาณสำรองเพียงพอสำหรับความมั่นคงด้านการบริโภคในประเทศเป็นหลัก โดยอาจต้องนำเข้า 30,000-50,000 ตัน จึงจะเพียงพอ
ส่วนการนำมาทำไบโอดีเซล บี5 นั้น คงต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะนโยบายของกระทรวงพลังงานเน้นการนำน้ำมันปาล์มส่วนเกินมาผลิตเป็นไบโอดีเซล บี5 หากปริมาณบริโภคยังไม่เพียงพอ จะยังไม่นำมาทำน้ำมันใช้ในรถยนต์
อย่างไรก็ตาม ผลผลิตปาล์มฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาดช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2554 ประมาณ 150,000 ตันต่อเดือน คาดว่า จะเพียงพอต่อการประกาศใช้ดีเซลเกรดเดียวได้ในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมมองว่า การแก้ปัญหาปริมาณน้ำมันปาล์มขาดแคลนระยะยาวควรดูแลด้านการส่งออกน้ำมันปาล์มและประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทราบและคาดการณ์ปริมาณน้ำมันปาล์มได้ล่วงหน้าอย่างเหมาะสม
ที่สำคัญ การประกาศใช้น้ำมันดีเซลเกรดเดียวจะต้องยืดหยุ่นได้ หากช่วงเวลาใดปริมาณน้ำมันปาล์มมากอาจประกาศให้จำหน่ายเป็นไบโอดีเซล บี5 แต่ช่วงเวลาใดน้ำมันปาล์มน้อยลงอาจประกาศให้จำหน่ายเป็นไบโอดีเซล บี4 แทน แต่ต้องมีการแก้ไขในประกาศกระทรวงให้ชัดเจนก่อน โดยมั่นใจว่า สามารถทำได้ และไม่ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตน้ำมันไบโอดีเซล บี5