รมช.คลัง เผย ครม.ไม่ต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นภาคอสังหาฯ หลังธุรกิจเริ่มเดินเองได้ ยอดโอนพุ่ง 7-10% ส่วนมาตรการช่วยค่าครองชีพประชาชน ไฟฟ้า-รถเมล์-รถไฟชั้น 3 ให้ต่ออายุไปถึงเดือน มิ.ย.53 ยกเว้นค่าน้ำประปา พร้อมไฟเขียวคลังค้ำประกันเงินกู้ให้บินไทยซื้อเครื่องใหม่
นายกรณ์ จาติกวานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ไม่ให้มีการต่ออายุมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะหมดอายุในเดือนมีนาคม 2553 เนื่องจากตามที่ได้ดูข้อมูลพบว่าบริษัทที่ได้รับสิทธิลดภาษีภายใต้มาตรการดังกล่าวนั้น ผลกำไรปรับตัวดีขึ้น และทำให้ภาพรวมยอดโอนอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นประมาณ 10%
สำหรับมาตการกระตุ้นอสังหาฯ ที่จะยกเลิกทั้งหมด มีดังนี้ การลดภาษีธุรกิจเฉพาะให้ผู้ประกอบการ การลดค่าโอนและจดจำนองจาก 3% ลงเหลือ 0.11% และการหักลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลในการซื้อบ้านใหม่เป็นมูลค่า 300,000 บาท
นอกจากนั้น ครม.ยังเชื่อว่า หลังจากยกเลิกมาตรการดังกล่าวแล้วภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะยังเติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งผลจากมาตรการที่ออกมาทำให้มีการเติบโตมากขึ้น มีการโอนเพิ่มขึ้นถึง 7% และผลประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น รายได้ก่อนหักดอกเบี้ยภาคอสังหาฯ อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงไม่มีความจำเป็นต้องคงมาตรการดังกล่าวเอาไว้ และที่ต้องมีการประชุมในเรื่องนี้ก่อน เพื่อต้องการให้ประชาชนเกิดความชัดเจน และดำเนินการโอนอีกภายใน 1 เดือนที่เหลือนี้ ก่อนจะหมดอายุมาตรการ
ส่วนมาตรการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน ที่ยังคงช่วยเหลือในเรื่อง รถเมล์ฟรี รถไฟชั้น 3 ฟรี และค่าไฟฟ้าฟรี โดยจะใช้งบประมาณช่วยเหลือ 4.5 พันล้านบาท เนื่องจากในส่วนของค่าไฟมีผู้ได้ประโยชน์ถึง 8 ล้านราย ขณะที่ค่าน้ำประปา ที่ผ่านมาได้มีการปรับลดปริมาณมาตลอดเวลาจากตั้แต่ 50 ลูกบาศก์เมตร เป็น 30 ลูกบาศก์เมตร และ 20 ลูกบาศก์เมตร จะเห็นได้ว่าประชาชนได้รับประโยชน์น้อยลง ครม.จึงเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องคงเอาไว้
ด้านนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.วันนี้ อนุมัติให้จัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330-300 มูลค่า 6,200 ล้านบาท โดยการบินไทย ได้บรรจุเงื่อนไขว่า หากเกิดข้อขัดแย้งระหว่างผู้ซื้อหรือผู้ขาย ก็จะต้องผ่านอนุญาโตตุลาการ แต่หากไม่บรรจุเงื่อนไข ก็จะต้องให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้
ทั้งนี้ เป็นการดำเนินงานตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ที่ระบุว่า การทำสัญญาทุกประเภทของหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ไม่ควรผูกมัดสัญญา จึงมอบหน้าที่ให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งการใช้ระบบดังกล่าว ต้องขอความเห็นชอบจาก ครม.เป็นรายกรณี
