รมว.คลัง ส่งสัญญาณใช้นโยบายการคลังดูแล ศก.ปี 53 โดยรัฐบาลยังเป็นผู้นำในการกระตุ้น ศก. เตรียมใช้นโยบายขาดดุลต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี พร้อมเร่งจัดแผนระยะยาว เพื่อปูทางให้เอกชนเพิ่มบทบาทการลงทุน
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวบรรยายหัวข้อ "นโยบายการคลังกับการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ" ในการสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 53" โดยระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2553 น่าจะขยายตัวได้ในอัตรา 3-5% แต่ยอมรับว่า เศรษฐกิจยังมีความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวได้เพียงระดับหนึ่ง เหมือนในช่วงไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจปี 2541 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงิน แต่ปัญหาการว่างงานต้องใช้เวลาแก้ไข ขณะที่ยุโรปยังมีปัญหาต่อเนื่อง การขาดความมั่นใจเกี่ยวกับเสถียรภาพการคลังของหลายประเทศในยุโรป
"หากมองในส่วนของไทย เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมีความมั่นคงมากขึ้น เห็นได้จากเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นปีละ 20,000 ล้านดอลลาร์ ระดับหนี้สาธารณะอยู่ระดับ 45% ของจีดีพี แม้จะสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่อยู่ระดับต่ำกว่าหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่ไทยเน้นการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินต่างประเทศ แต่ระดับหนี้สาธารณะกว่า 4 ล้านล้านบาท ที่มีระยะเวลาชำระคืนหนี้เฉลี่ย 5 ปี ถือว่าสั้นเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหา ดังนั้น รัฐบาลต้องเตรียมการยืดอายุการชำระคืนหนี้ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพการคลัง"
อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงต้องมีบทบาทในการผู้นำในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รัฐบาลยังต้องคงนโยบายการขาดดุลงบประมาณต่อไปอีก 1-2 ปี ในปีงบประมาณ 2553-2554
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังกำลังเตรียมการจัดทำแผนงบประมาณระยะยาว 5-10 ปี เพื่อเตรียมการคาดการณ์งปบระมาณในระยะยาว พิจารณาว่าจะใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณได้อีกนานแค่ไหน รวมถึงแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจ และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอนาคต ขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในด้านการลงทุนมากขึ้น มีการปฎิรูปรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิในการลงทุน หลังจากพบว่า ที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนที่บกพร่องมาก
สำหรับในปีงบประมาณ 2554 รัฐบาลวางกรอบประมาณการจัดเก็บรายได้จำนวน 1.65 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2552 จำนวน 3 แสนล้านบาท เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ทำให้ความสามารถจัดเก็บรายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้น ขณะที่แผนการลงทุนภาครัฐในโครงการไทยเข้มแข็งจะใช้เงินจากเงินประมาณมากขึ้น โดยความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อลงทุน ตาม พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจจะลดลง
รมว.คลัง ยังกล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2553 โดยระบุว่า กระทรวงการคลังจะมีการพิจารณาทบทวนการใช้มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่จะถึงกำหนดสิ้นสุดมาตรการในเดือนมีนาคม 2553 นี้ ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นวิกฤตไปแล้ว ขณะนี้จะต้องให้ความสำคัญต่อการรักษาวินัยการเงินการคลัง และยังต้องดูถึงความเป็นธรรมต่อธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ได้รับมาตรการยกเว้นภาษีส่วนนี้ด้วย
ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาวินัยการเงินการคลังและความศักดิ์สิทธิ์ของนโยบาย ซึ่งหากมีนโยบายที่สามารถตอบโจทย์ได้เราก็ต้องคงความเด็ดขาด ถ้าโจทย์เปลี่ยนไปหรือนโยบายแก้ได้แล้ว ก็ต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกมาตรการ เพื่อรักษาวินัยการคลัง ไม่ใช่เอาใจทุกคน