xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์นอกเผยมุมมอง ศก.ไทยปี 53 โตได้แต่ยังเปราะบาง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธ.สแตนดาร์ดฯ มองภาพ ศก.ไทยปี 53 โตแบบเปราะบาง คาดแนวโน้ม "จีดีพี" บวกได้ 2.8% ส่วนแนวโน้มปี 54 คาดโตได้ 4.5% ชี้ การส่งออกฟื้นตัว เพราะฐานปี 52 ลดลงต่ำมาก ห่วงการเมืองวุ่นวายขัดขามาตรการกระตุ้น ศก.ของภาครัฐ เตือนปัญหามาบตาพุดไม่นิ่งฉุดการลงทุนวูบยาว แนะจับตาเงินหยวนแข็งค่าส่งผลต่อเงินบาทแน่



นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2553 ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ยังเปราะบาง เนื่องจากมี 2 ปัจจัยกำหนดการเติบโตเศรษฐกิจไทย คือ ความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งหากการเมืองยังมีความวุ่นวายจะกระทบต่อพัฒนาการเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุน การบริโภคภาคเอกชนที่อาจเปราะบาง ทำให้การฟื้นตัวไม่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวได้ในอัตรา 2.8% เป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และในปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 4.5% โดยการส่งออกของไทยในปี 2553 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวก แต่เป็นผลมาจากฐานของมูลค่าส่งออกในปี 2552 ที่อยู่ระดับต่ำ ขณะที่มูลค่าการส่งออกที่จะกลับมาขยายตัวเหมือนช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจโลกคงเป็นเรื่องยาก

สำหรับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ยังไม่น่าเป็นห่วงและเป็นประเด็นที่น่าวิตก เพราะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเกิดจากความผันผวนของราคาสินค้าในหมวดอาหารและพลังงาน ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ไม่ได้เป็นการปรับสูงขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงยังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึงปี 2554

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในปี 2553 อาจต้องเผชิญกับเรื่องผลตอบแทนต่อเงินเฟ้อติดลบ แต่แนวโน้มดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์อาจจะปรับสูงขึ้นก่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากสภาพคล่องในระบบจะลดลง จากการที่ธนาคารพาณิชย์ที่มีเป้าหมายขยายสินเชื่อ 5-8% ซึ่งเป็นเม็ดเงิน 4-6 แสนล้านบาท ดังนั้น อาจทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2553 เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง

ส่วนกรณีมาบตาพุดนั้น มองว่ามีผลกระทบทั้งทางตรงและและทางอ้อม ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นทำให้โครงการลงทุนที่มีเม็ดเงินคิดเป็น 4.3% ของจีดีพี ต้องชะลออกไป ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่มองว่าจะทำการเติบโตเศรษฐกิจ 0.4-0.5% แต่สิ่งที่เป็นกังวลมากกว่าคือความรู้สึกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ที่มองความไม่แน่นอนของกฎระเบียบเป็นปัจจัยเสี่ยงในการลงทุน หากไม่ได้รับการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในปี 2553 อาจส่งผลต่อศักยภาพเงินลงทุนในประเทศ และระยะกลาง ถึงระยะยาว จะเป็นผลทางจิตวิทยาต่อเม็ดเงินลงทุนในประเทศได้

นายคัลลัม เฮนเดอร์สัน หัวหน้าสำนักวิจัยกลยุทธ์การปริวรรตเงินตราระหว่างประเทศ ธนาคารแสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (สิงคโปร์) คาดการณ์ว่า ในระยะยาว เงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบสกุลเงินหลักและค่าเงินเอเซีย แต่ระยะสั้นมองว่าดอลลาร์มีโอกาสดีดกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งแรกปี 2553 เนื่องจากการปรับฐานะการลงทุนของสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนต่างประเทศ และการไหลเข้าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในเอเซีย จะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าเงินเอเซียแข็งค่าในระยะยาว จนอาจทำให้ธนาคารกลางบางประเทศ ต้องเข้าแทรกแซงค่าเงิน เพื่อทำให้การแข็งค่าของเงินช้าลง

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแนะนำให้ติดตามการแข็งค่าของเงินหยวนที่ขณะนี้เริ่มทรงตัวเมื่อเทียบดอลลาร์ แต่ในปี 2553 คาดว่าเงินหยวนจะยังแข็งค่าต่อเนื่องอย่างน้อย 2% ซึ่งจะทำให้ค่าเงินในเอเซียแข็งค่าตาม รวมถึงเงินบาท

ส่วนค่าเงินบาท ระยะสั้นเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า จากดอลลาร์ที่แข็งค่า แต่แนวโน้มระยะยาว เงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเศรษฐกิจกำลังเติบโตต่อเนื่องในปี 2553 และจะเร่งตัวขึ้นในปี 2554 อีกทั้งยังได้รับอานิสงก์จากการแข็งค่าของเงินหยวน โดยคาดว่าในช่วงครึ่งแรกปี 2553 เงินบาทจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่ครึ่งหลังปี 53 เงินบาทจะกลับมาแข็งค่า โดยปลายปีคาดว่าจะอยู่ที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อาจทำให้การแข่งขันในภาคการส่งออกจะต้องมีการปรับตัว รับภาวะที่เกิดขึ้นและต้องมีการบริหารความเสี่ยงจากทิศทางเงินบาท ที่แข็งค่าที่จะกระทบรายได้ผู้ส่งออก
กำลังโหลดความคิดเห็น