นายกรัฐมนตรีระบุผลประชุมลดภาวะโลกร้อนที่เดนมาร์กล้มเหลว ไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมาย ย้ำไทยเดินตามกระแสพระราชดำรัสช่วยลดมลภาวะ ระบุผลงานในรอบ 1 ปี ผ่านกฎหมายสำคัญได้หลายฉบับ แม้จะเกิดสภาพสภาล่มซ้ำซาก มั่นใจ ศก.ปี 53 เติบโต 3.5 เปอร์เซ็นต์
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกัยนายกฯ อภิสิทธิ์ "
วันนี้ (20 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ จากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก่อนที่จะเดินทางกลับถึงประเทศไทย ผ่านทางรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกัยนายกฯ อภิสิทธิ์ ก่อนเดินทางกลับ โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากย้ำให้คนไทยทุกคนทราบว่า ไม่ว่าผลของการประชุมเรื่องโลกร้อนจะเกิดข้อตกลงระหว่างประเทศหรือไม่ก็ตาม หากทุกประเทศยังยึดมั่นตามเดิมทำสิ่งที่เคยทำตามปกติ โดยไม่คิดถึงปัญหาโลกร้อน อนาคตไม่นานนี้ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจะส่งถึงคนไทยทุกคนแน่นอน ทั้งในเรื่องระดับน้ำทะเลที่ท่วมสูงขึ้น ภาวะอากาศแปรปรวน ซึ่งอยากให้คนไทยคิดถึงลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปว่าจะอยู่อย่างไร
นายกรัฐมนตรีย้ำด้วยว่า ไม่ว่าชาติอื่นจะแก้ไขเรื่องโลกร้อนหรือไม่ก็ตาม แต่ประเทศไทยคงต้องหันมามองเรื่องการลดการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศยักษ์ใหญ่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะสูงสุดในโลก คือ จีน และสหรัฐฯ แต่เนื่องจากจีนเป็นประเทศกำลังพัฒนา จึงมีสิทธิ์ที่อ้างว่าจะทำเรื่องนี้โดยความสมัครใจเอง ส่วนสหรัฐอเมริกาถือว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ประธานาธิบดีก็ถูกกำกับโดยสภา ทำให้การตัดสินใจค่อนข้างจะลำบาก สำหรับไทยนั้นเราต้องขอดำเนินการตามพระราชดำรัส ซึ่งก็มีส่วนดูแลในเรื่องมลภาวะอยู่แล้ว และเป็นที่น่าเสียดายว่าการประชุมในครั้งนี้ไม่สามารถก่อให้เกิดข้อผูกพันทางกฎหมายได้ แต่ไทยเราต้องช่วยกันประหยัดพลังงานและลดภาวะเรือนกระจก เพื่ออนาคตของรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
นายกรัฐมนตรีได้เข้ารายการสดอีกครั้ง หลังการเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อเช้านี้ โดยกล่าวถึงภาพรวมหลายเรื่อง ในส่วนของการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาไทย สำหรับการเป็นเจ้าเหรียญทอง แต่ยอมรับว่าต้องกลับมาดูในส่วนที่ผิดพลาดหรือข้อบกพร่องบ้างขณะเรื่องเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ต่ออายุ 5 มาตรการ ออกไปอีก 3 เดือน แต่ย้ำว่าเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น ขอให้ประชาชนเข้าใจด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงผลงานของรัฐบาลในรวมภาพรวมว่า เป็นรัฐสภาที่สามารถผลักดันได้หลายฉบับ แม้จะเกิดสภาพสภาล่มบ่อยครั้ง ตัวเลขจีดีพีมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตัวเลขการว่างงานก็ลดลง กับประเทศที่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจในรอบ 1 ที่ผ่านมา ขณะที่ปัญหาการเมืองยังไม่จบ ขอย้ำถึงความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะกลางซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว ตามโครงการไทยเข้มแข็ง เพราะหากไม่มีการกระตุ้น เศรษฐกิจก็ไม่ฟื้นตัว สำหรับ 1 ปีต่อจากนี้รัฐบาลจะมีนโยบายสานระยาวในเรื่องสวัสดิการสังคม ลดภาษี และให้คำมั่นว่าจะมีการเติบโตเศรษฐกิจ ร้อยละ 3.5 การส่งออกและการท่องเที่ยวกระเตื้องแน่นอน