สหวิริยาสตีลฯ ตั้งเป้าปีนี้ฟันยอดขาย 5 หมื่นล้านบาท หลังจากเพิ่มกำลังผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนฯจาก 1.75 ล้านตันเป็น 2.7 ล้านตัน ประเมินราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนปีนี้ไม่พุ่งร้อนแรงอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่มั่นคงแถมจีนออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ ฉวยจังหวะผู้ประกอบการเหล็กรายอื่นอ่อนแอ เล็งซื้อกิจการเหล็กและแหล่งวัตถุดิบทั้งในและต่างประเทศ
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)(SSI) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวม 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายรวม 3.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจาก 1.75 ล้านตันเป็น 2.7 ล้านตัน คิดเป็น 70%ของกำลังผลิตทั้งหมด
ขณะที่แนวโน้มราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐ/ตันหรือประมาณ 2.1 หมื่นบาทต่อตัน ใกล้เคียงช่วงไตรมาส 4/2552 แม้ว่าราคาแร่เหล็ก ถ่านโค้ก และค่าระวางเรือจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างไม่มั่นคง ทำให้ความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนในบางทวีปไม่ได้สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนไม่สามารถพุ่งขึ้นได้มากซึ่งปัจจุบันมาร์จินในการรีดเหล็กดีมาก 125-150 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังดูลู่ทางการขยายการลงทุนเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการซื้อกิจการโรงเหล็ก รวมไปถึงแหล่งวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่เหล็ก และเหล็กต้นน้ำเพื่อความมั่นคงด้านวัตถุดิบซึ่งปัจจุบันในอาเซียนมีผู้ผลิตเหล็กพรุน (เหล็กต้นน้ำ)อยู่ 2 ประเทศ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งการเปิดเสรีอาฟตาทำให้มีกรลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ทำให้2ประเทศดังกล่าวได้เปรียบในการแข่งขันอุตสาหกรรมเหล็กเหนือประเทศอื่นในอาเซียน
" ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาในการขยายการลงทุนหรือสร้างฐานใหญ่ขึ้น โดยดูอยู่บางโครงการในขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กอ่อนแออยู่ บริษัทน่าจะมีโอกาสนเดินก้าวหน้าต่อไปได้แต่ยอมรับว่าไทยมีปัญหาด้านกฎหมายมาตรา 67ทำให้การอนุมัติโครงการต่างๆติดขัดหากมีการลงทุนในไทยคงต้องทำอย่างระมัดระวัง ส่วนต่างประเทศนั้น บริษัทศึกษาอยู่อาจจะสร้างโรงงานใหม่หรือซื้อกิจการ โดยมองทั้งโรงงานเหล็กและแหล่งวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ ด้วย โดยการลงทุนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ "
นายวิน กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 400-500 ล้านบาท เพื่อใช้ซ่อมบำรุงและปรับปรุงเครื่องจักร ขณะที่โครงการลงทุนใหมทั้งในและต่างประเทศนั้นยังไม่ได้มีการตั้งงบลงทุนไว้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีฐานะการเงินเข้มแข็งขึ้น โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.2 เท่า สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มขึ้นทั้งการกู้เงินและออกหุ้นกู้ โดยจะรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1.5เท่า อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในปีนี้ส่วนหนึ่งเพื่อป้อนโรงงานเหล็กแผ่นรีดเย็นในเครือสหวิริยาฯ ซึ่งปีนี้มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตจาก 4.6 แสนตันต่อปีเป็น 8 แสนตันต่อปี เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัวอย่างเด่นชัดมียอดการผลิตเดือนละ 1.2 แสนคัน
นอกจากนี้บริษัทฯวางเป้าหมายการส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น15%จากเดิม 10%ในปีที่แล้ว โดยตลาดส่งออกหลักเน้นแถบตะวันออกกลางและอาเซียน
สำหรับผลการดำเนินงานของเครือสหวิริยาในปีนี้ ก็จะเห็นยอดขายและกำไรเติบโตอย่างเด่นชัด ส่วนแผนการลงทุนโครงการโรงถลุงเหล็กมูลค่าแสนล้านบาทนั้น เครือสหวิริยาได้ตัดสินใจหยุดโครงการไว้ตั้งแต่ต้นปี 2552 เนื่องจากข้อกฎหมายทำให้ไม่สามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น มีผลทำให้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวลดลง 2-3% จากกำลังซื้อที่หดตัวลง แต่เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบแค่ช่วงนั้นจะเห็นจากราคาเริ่มนิ่งแล้ว เพราะจีนเป็นประเทศที่มีการบริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลก เวลามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็จะกระทบกับตลาดแต่จากการประเมินโดยรวมเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเหล็ก
ด้านเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปนั้นมีปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในบางประเทศทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลง แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจยุโรปมีความเข้มแข็งกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงไม่ฟุบแน่ เพียงแต่แนวโน้มราคาเหล็กโลกจะไม่พุ่งร้อนแรง ทำให้ราคาวัตถุดิบเหล็กในยุโรปตะวันออกไม่สูงนัก ล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% และยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)(SSI) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวม 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายรวม 3.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจาก 1.75 ล้านตันเป็น 2.7 ล้านตัน คิดเป็น 70%ของกำลังผลิตทั้งหมด
ขณะที่แนวโน้มราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐ/ตันหรือประมาณ 2.1 หมื่นบาทต่อตัน ใกล้เคียงช่วงไตรมาส 4/2552 แม้ว่าราคาแร่เหล็ก ถ่านโค้ก และค่าระวางเรือจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างไม่มั่นคง ทำให้ความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนในบางทวีปไม่ได้สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนไม่สามารถพุ่งขึ้นได้มากซึ่งปัจจุบันมาร์จินในการรีดเหล็กดีมาก 125-150 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังดูลู่ทางการขยายการลงทุนเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการซื้อกิจการโรงเหล็ก รวมไปถึงแหล่งวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่เหล็ก และเหล็กต้นน้ำเพื่อความมั่นคงด้านวัตถุดิบซึ่งปัจจุบันในอาเซียนมีผู้ผลิตเหล็กพรุน (เหล็กต้นน้ำ)อยู่ 2 ประเทศ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งการเปิดเสรีอาฟตาทำให้มีกรลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ทำให้2ประเทศดังกล่าวได้เปรียบในการแข่งขันอุตสาหกรรมเหล็กเหนือประเทศอื่นในอาเซียน
" ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาในการขยายการลงทุนหรือสร้างฐานใหญ่ขึ้น โดยดูอยู่บางโครงการในขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กอ่อนแออยู่ บริษัทน่าจะมีโอกาสนเดินก้าวหน้าต่อไปได้แต่ยอมรับว่าไทยมีปัญหาด้านกฎหมายมาตรา 67ทำให้การอนุมัติโครงการต่างๆติดขัดหากมีการลงทุนในไทยคงต้องทำอย่างระมัดระวัง ส่วนต่างประเทศนั้น บริษัทศึกษาอยู่อาจจะสร้างโรงงานใหม่หรือซื้อกิจการ โดยมองทั้งโรงงานเหล็กและแหล่งวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ ด้วย โดยการลงทุนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ "
นายวิน กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 400-500 ล้านบาท เพื่อใช้ซ่อมบำรุงและปรับปรุงเครื่องจักร ขณะที่โครงการลงทุนใหมทั้งในและต่างประเทศนั้นยังไม่ได้มีการตั้งงบลงทุนไว้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีฐานะการเงินเข้มแข็งขึ้น โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.2 เท่า สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มขึ้นทั้งการกู้เงินและออกหุ้นกู้ โดยจะรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1.5เท่า อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในปีนี้ส่วนหนึ่งเพื่อป้อนโรงงานเหล็กแผ่นรีดเย็นในเครือสหวิริยาฯ ซึ่งปีนี้มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตจาก 4.6 แสนตันต่อปีเป็น 8 แสนตันต่อปี เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัวอย่างเด่นชัดมียอดการผลิตเดือนละ 1.2 แสนคัน
นอกจากนี้บริษัทฯวางเป้าหมายการส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น15%จากเดิม 10%ในปีที่แล้ว โดยตลาดส่งออกหลักเน้นแถบตะวันออกกลางและอาเซียน
สำหรับผลการดำเนินงานของเครือสหวิริยาในปีนี้ ก็จะเห็นยอดขายและกำไรเติบโตอย่างเด่นชัด ส่วนแผนการลงทุนโครงการโรงถลุงเหล็กมูลค่าแสนล้านบาทนั้น เครือสหวิริยาได้ตัดสินใจหยุดโครงการไว้ตั้งแต่ต้นปี 2552 เนื่องจากข้อกฎหมายทำให้ไม่สามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อลดความร้อนแรงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น มีผลทำให้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวลดลง 2-3% จากกำลังซื้อที่หดตัวลง แต่เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบแค่ช่วงนั้นจะเห็นจากราคาเริ่มนิ่งแล้ว เพราะจีนเป็นประเทศที่มีการบริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลก เวลามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็จะกระทบกับตลาดแต่จากการประเมินโดยรวมเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเหล็ก
ด้านเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปนั้นมีปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในบางประเทศทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลง แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจยุโรปมีความเข้มแข็งกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงไม่ฟุบแน่ เพียงแต่แนวโน้มราคาเหล็กโลกจะไม่พุ่งร้อนแรง ทำให้ราคาวัตถุดิบเหล็กในยุโรปตะวันออกไม่สูงนัก ล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% และยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก