เจ้าสัวธนินท์ชี้หากการเมืองไทยนิ่ง มีโอกาสเห็นจีดีพีปีนี้ 10% หากการเมืองไทยแกว่ง แต่การส่งออก-สินค้าเกษตรดี และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจีดีพีน่าจะอยู่ที่ 5% เชื่อไทยได้เปรียบในการการเปิดอาฟตาอาเซียน-จีน เนื่องจากต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกไปจีน หากไทยแก้ปัญหามาบตาพุดได้เร็ว
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี.) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปี 2553 ว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)จะสูงถึง 10%หากการเมืองนิ่ง แต่หากการเมืองไม่นิ่ง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรมีราคาดี เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และ การส่งออกไทยเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจีดีพีไทยก็มีโอกาสเติบโตที่ 5%
“ประเทศไทยขออย่างเดียวการเมืองนิ่ง ไทยจะรุ่งเรืองอีกมาก จีดีพีจะขึ้นกว่าปีที่แล้วอาจไปถึง 10% หากราคาสินค้าเกษตรดี เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การส่งออกดี และการเมืองนิ่ง”
ทั้งนี้ ประเทศมีความได้เปรียบกว่าเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ปัจจุบันไทยมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2997 สำรองเงินตราต่างประเทศของไทยหายไปเกือบหมด ขณะเดียวกันสถาบันการเงินในประเทศเองก็มีเงินฝากสูงถึง 10 ล้านล้านบาท แต่ปล่อยสินเชื่อเพียง 6 ล้านล้านบา ดังนั้นแบงก์ยังสามารถปล่อยกู้ให้กับนักธุรกิจ เกษตรกรได้อีก 4 ล้านล้านบาท หากราคาสินค้าเกษตรดี
“ ตามที่เคยกล่าวไว้ทฤษฎีสองสูง คือเงินเดือนข้าราชการและราคาสินค้าเกษตรต้องสูง เมื่อราคาสินค้าเกษตรสูงจะทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีอำนาจซื้อในการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ยอดขายสินค้าอุตสาหกรรมดีตามไปด้วย เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำให้สูงขึ้นเสมอ โดยปีนี้เชื่อว่าราคาสินค้าเกษตรดีขึ้นกว่าปีก่อน หลังจากอินเดียมีปัญหาการเพาะปลูก ทำให้ข้าวขาดแคลน ซึ่งไทยได้รับประโยชน์ ขณะที่ราคายางก็สูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน เชื่อว่าราคาข้าวเปลือกหอมมะลิจะอยู่ที่ 50 บาท/กก. เพียงแต่ขอให้การเมืองไทยนิ่ง”
นายธนินท์ กล่าวต่อไปว่า การเปิดเขตการค้าเสรี(อาฟตา)อาเซียน-จีน ทำให้มีการปรับลดอัตราภาษีระหว่างกันเหลือร้อยละ 0ในสินค้ากว่า 90% นั้น บางคนมองว่าไทยจะเสียเปรียบ แต่ตนมองว่าไทยจะได้เปรียบ เนื่องจากไทยผลิตสินค้าเพื่อขายให้ตลาดจีนถึง 1,300 ล้านคน แต่คนจีนผลิตสินค้าส่งออกให้ไทยที่มีตลาดเพียง 65 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หากสินค้าของไทยที่เสียเปรียบ รัฐบาลก็ต้องข่วยเหลือธุรกิจเพื่อให้แข่งขันได้ โดยระยะสั้นไทยอาจเสียเปรียบ แต่ระยะยาวไทยจะได้เปรียบอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นักธุรกิจต่างประเทศทั่วโลก รวมทั้งจีนมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยภายใต้ข้อตกลงอาเซียน-จีน เนี่องจากภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปจีนเป็น 0% ทำให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในไทยแล้วส่งออกไปจีน โดยไม่ต้องเสียภาษีเสมือนหนึ่งเป็นการผลิตสินค้าในจีนเอง นอกจากนี้ข้อได้เปรียบเรื่องอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นมิตรสภาพภูมิอากาศก็ดีกว่าเป็นเป็นตัวดึงดูดการลงทุนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหามาบตาพุดมีส่วนทำให้นักลงทุนที่อยากเข้ามาลงทุนในไทยต้องลังเล ซึ่งเรื่องนี้ต้องจบโดยเร็ว เชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาได้ หากปัญหามาบตาพุดยืดเยื้อไป เชื่อว่าจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยถอยหลังช้าไปอีก ยอมรับว่าปัญหามาบตาพุดกระทบกับบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้น ควรต้องให้เวลาภาคเอกชนในการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เข้าหลักมาตรฐานสากลที่สูงขึ้นควบคู่กับการผลิต ไม่ใช่จะให้ดำเนินการแก้ไขในทันที ซึ่งเดิมภาคเอกชนก็ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี.) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปี 2553 ว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)จะสูงถึง 10%หากการเมืองนิ่ง แต่หากการเมืองไม่นิ่ง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรมีราคาดี เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และ การส่งออกไทยเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจีดีพีไทยก็มีโอกาสเติบโตที่ 5%
“ประเทศไทยขออย่างเดียวการเมืองนิ่ง ไทยจะรุ่งเรืองอีกมาก จีดีพีจะขึ้นกว่าปีที่แล้วอาจไปถึง 10% หากราคาสินค้าเกษตรดี เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การส่งออกดี และการเมืองนิ่ง”
ทั้งนี้ ประเทศมีความได้เปรียบกว่าเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ปัจจุบันไทยมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2997 สำรองเงินตราต่างประเทศของไทยหายไปเกือบหมด ขณะเดียวกันสถาบันการเงินในประเทศเองก็มีเงินฝากสูงถึง 10 ล้านล้านบาท แต่ปล่อยสินเชื่อเพียง 6 ล้านล้านบา ดังนั้นแบงก์ยังสามารถปล่อยกู้ให้กับนักธุรกิจ เกษตรกรได้อีก 4 ล้านล้านบาท หากราคาสินค้าเกษตรดี
“ ตามที่เคยกล่าวไว้ทฤษฎีสองสูง คือเงินเดือนข้าราชการและราคาสินค้าเกษตรต้องสูง เมื่อราคาสินค้าเกษตรสูงจะทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีอำนาจซื้อในการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ยอดขายสินค้าอุตสาหกรรมดีตามไปด้วย เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำให้สูงขึ้นเสมอ โดยปีนี้เชื่อว่าราคาสินค้าเกษตรดีขึ้นกว่าปีก่อน หลังจากอินเดียมีปัญหาการเพาะปลูก ทำให้ข้าวขาดแคลน ซึ่งไทยได้รับประโยชน์ ขณะที่ราคายางก็สูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน เชื่อว่าราคาข้าวเปลือกหอมมะลิจะอยู่ที่ 50 บาท/กก. เพียงแต่ขอให้การเมืองไทยนิ่ง”
นายธนินท์ กล่าวต่อไปว่า การเปิดเขตการค้าเสรี(อาฟตา)อาเซียน-จีน ทำให้มีการปรับลดอัตราภาษีระหว่างกันเหลือร้อยละ 0ในสินค้ากว่า 90% นั้น บางคนมองว่าไทยจะเสียเปรียบ แต่ตนมองว่าไทยจะได้เปรียบ เนื่องจากไทยผลิตสินค้าเพื่อขายให้ตลาดจีนถึง 1,300 ล้านคน แต่คนจีนผลิตสินค้าส่งออกให้ไทยที่มีตลาดเพียง 65 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หากสินค้าของไทยที่เสียเปรียบ รัฐบาลก็ต้องข่วยเหลือธุรกิจเพื่อให้แข่งขันได้ โดยระยะสั้นไทยอาจเสียเปรียบ แต่ระยะยาวไทยจะได้เปรียบอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นักธุรกิจต่างประเทศทั่วโลก รวมทั้งจีนมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยภายใต้ข้อตกลงอาเซียน-จีน เนี่องจากภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปจีนเป็น 0% ทำให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในไทยแล้วส่งออกไปจีน โดยไม่ต้องเสียภาษีเสมือนหนึ่งเป็นการผลิตสินค้าในจีนเอง นอกจากนี้ข้อได้เปรียบเรื่องอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นมิตรสภาพภูมิอากาศก็ดีกว่าเป็นเป็นตัวดึงดูดการลงทุนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหามาบตาพุดมีส่วนทำให้นักลงทุนที่อยากเข้ามาลงทุนในไทยต้องลังเล ซึ่งเรื่องนี้ต้องจบโดยเร็ว เชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาได้ หากปัญหามาบตาพุดยืดเยื้อไป เชื่อว่าจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยถอยหลังช้าไปอีก ยอมรับว่าปัญหามาบตาพุดกระทบกับบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้น ควรต้องให้เวลาภาคเอกชนในการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เข้าหลักมาตรฐานสากลที่สูงขึ้นควบคู่กับการผลิต ไม่ใช่จะให้ดำเนินการแก้ไขในทันที ซึ่งเดิมภาคเอกชนก็ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว