คลังเชิญชวนผู้ประกอบการ บริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยเหลือองค์การสาธารณกุศล หลังพบปี 52 ยอดเงินบริจาคโดนผลกระทบ ศก. ตัวเลขหายไปสูงถึง 50% ของยอดเฉลี่ยที่ 300-400 ล้านบาท
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เห็นชอบประกาศกระทรวงฯ กำหนดองค์การสาธารณกุศล ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 โดยให้มูลนิธิ 3 แห่ง เป็นองค์การสาธารณกุศลที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเชิญชวนให้ผู้ประกอบการ บริจาคเงินหรือสิ่งของให้องค์การสาธารณกุศล เพื่อให้ยอดบริจาคกลับมาอยู่ในระดับปกติหรือมากขึ้น เนื่องจากปี 2552 ที่ผ่านมา ยอดบริจาคดังกล่าวลดน้อยลงไปถึงร้อยละ 50 เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี จากปกติจะมียอดบริจาคเฉลี่ยปีละ 300-400 ล้านบาท
ขณะที่องค์กรการสาธารณกุศลเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายประจำอยู่แล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือสังคม โดยปัจจุบันมีมูลนิธิที่ได้รับประกาศให้เป็นองค์การสาธารณกุศลแล้วกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ และยังมีอีกกว่า 30-40 แห่งที่ขอขึ้นทะเบียนให้ถูกกฎหมายแต่ยังไม่ผ่านการอนุมัติ เพราะต้องมีคุณสมบัติ เช่น วัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ รายได้ต้องไม่ใช่มาจากการซื้อขาย หรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติ และต้องนำไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
ขณะเดียวกันจะพิจารณานำเงินรายได้จากภาษีบาป มาเพิ่มเงินให้แก่กองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จากปกติที่แบ่งรายได้ให้ร้อยละ 2 และไทยพีบีเอส ร้อยละ 1.5 หรือปีละ 2,000 ล้านบาท ให้เป็น 2,500 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือคนพิการโดยตรง ซึ่งจะพิจารณาแนวทางอื่นๆ ที่สามารถใช้เงินได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้วิธีแก้กฎหมาย ซึ่งต้องเสียเวลานาน
สำหรับองค์การสาธารณกุศล 3 แห่งใหม่ดังกล่าวคือ มูลนิธิสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กพิการ มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิคุณากรในพระราชูปถัมภ์ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนพิการทางกาย ทั้งด้านการรักษาพยาบาล การศึกษา สวัสดิการและอาชีพตามความเหมาะสม
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เห็นชอบประกาศกระทรวงฯ กำหนดองค์การสาธารณกุศล ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 โดยให้มูลนิธิ 3 แห่ง เป็นองค์การสาธารณกุศลที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเชิญชวนให้ผู้ประกอบการ บริจาคเงินหรือสิ่งของให้องค์การสาธารณกุศล เพื่อให้ยอดบริจาคกลับมาอยู่ในระดับปกติหรือมากขึ้น เนื่องจากปี 2552 ที่ผ่านมา ยอดบริจาคดังกล่าวลดน้อยลงไปถึงร้อยละ 50 เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี จากปกติจะมียอดบริจาคเฉลี่ยปีละ 300-400 ล้านบาท
ขณะที่องค์กรการสาธารณกุศลเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายประจำอยู่แล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือสังคม โดยปัจจุบันมีมูลนิธิที่ได้รับประกาศให้เป็นองค์การสาธารณกุศลแล้วกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ และยังมีอีกกว่า 30-40 แห่งที่ขอขึ้นทะเบียนให้ถูกกฎหมายแต่ยังไม่ผ่านการอนุมัติ เพราะต้องมีคุณสมบัติ เช่น วัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ รายได้ต้องไม่ใช่มาจากการซื้อขาย หรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติ และต้องนำไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
ขณะเดียวกันจะพิจารณานำเงินรายได้จากภาษีบาป มาเพิ่มเงินให้แก่กองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จากปกติที่แบ่งรายได้ให้ร้อยละ 2 และไทยพีบีเอส ร้อยละ 1.5 หรือปีละ 2,000 ล้านบาท ให้เป็น 2,500 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือคนพิการโดยตรง ซึ่งจะพิจารณาแนวทางอื่นๆ ที่สามารถใช้เงินได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้วิธีแก้กฎหมาย ซึ่งต้องเสียเวลานาน
สำหรับองค์การสาธารณกุศล 3 แห่งใหม่ดังกล่าวคือ มูลนิธิสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กพิการ มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิคุณากรในพระราชูปถัมภ์ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนพิการทางกาย ทั้งด้านการรักษาพยาบาล การศึกษา สวัสดิการและอาชีพตามความเหมาะสม
