xs
xsm
sm
md
lg

ททท.ชูกลยุทธ์ กรีนมาร์เก็ตติ้ง บูมท่องเที่ยวไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จับตา กลยุทธ์กรีนมาร์เก็ตติ้งมาแรง ระบาดสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ทั้งภาครัฐโดย ททท.และผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเอกชนตื่นตัวยกใหญ่ หวังสร้างอิมเมจที่ดี

ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนเริ่มแสดงให้เห็นชัดเจนจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ครอบคลุมไปทุกภูมิภาคในโลกนี้ เห็นได้จากความรุนแรงของภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้ง พายุฝน น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุหิมะ การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ตลอดจนโรคระบาดร้ายแรงในอดีตที่เคยหายไปก็กลับเกิดขึ้นมาอีกครั้งในความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น

ทั้งหมดเกิดจากการที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี จึงเป็นเหตุให้ หลายประเทศต่างตื่นกลัวกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น หากไม่สามารถชะลอความร้อนของโลกได้ จึงเป็นที่มาของการเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม การสร้างจิตสำนึกที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ธรรมชาติได้บำบัดธรรมชาติด้วยกันเอง

จากกระแสความตื่นตัวดังกล่าว ในทางการตลาด สามารถหยิบยกมาจัดทำเป็นแผนธุรกิจ เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน และเป็นจุดขายกระตุ้นหรือเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาซื้อหาหรือใช้บริการ

ท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหนึ่ง ที่ถูกมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม   ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวเพื่อลบภาพของการทำลายสิ่งแวดล้อมออกไปแต่ ให้ทุกคนมองเห็นว่า การท่องเที่ยวก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยฟื้นฟูผลกระทบจากภาวะโลกร้อนได้เช่นกัน

จากข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (FTA) ที่จะเริ่มตั้งแต่ปี 2553 – 2558   ท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่จัดอยู่ในหมวดอุตสาหกรรมบริการ  ที่จะต้องเข้าสู่การเปิดเสรีเช่นกัน ทำให้ในปี 2553 นี้ เริ่มจะมีภาพที่เด่นชัดในเรื่องของการนำกลยุทธ์กรีน มาร์เก็ตติ้ง เข้ามาบรรจุในแผนธุรกิจ

**ททท.เจาะตลาดอีโคทัวริสซึ่ม

นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการ ฝ่ายตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในปี 2553 ททท.ฝ่ายตลาดในประเทศ จะนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ๆให้ตลาดคนไทยได้รับรู้ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวรูปแบบอีโคทัวริสซึม
 
ทั้งนี้เพราะจากการที่หลายๆหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน มีการสร้างกระแสต้านภัยโลกร้อนมาระยะหนึ่ง ด้วยการปลูกจิตสำนึกรักษ์โลกให้แก่คนรุ่นใหม่ๆ ททท.ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยว จะต่อยอดให้เกิดเป็นรูปธรรมในด้านการท่องเที่ยว โดยมีการกำหนดจัดงาน “อีโค แอนด์ แอดเวนเจอร์ มาร์ท” ช่วงกลางปี หรือราว พ.ค.-มิ.ย.53  ที่ จ.นครนายก  จัดเวทีให้ผู้ซื้อพบผู้ขาย ซึ่งจะมาจากหลายๆพื้นที่ทั่วประเทศ  พร้อมแฟมทริปเชิญบริษัทนำเที่ยวร่วมลงสำรวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว  ที่จ.นครนายก และจังหวัดใกล้เคียง  โดยงานนี้อาจมีการเปิดให้คอนซูเมอร์ เข้าเลือกซื้อสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวด้วย

ในภาพรวมการทำงานปีนี้ นอกจากจัดกิจกรรมส่งเสริมแบบภาพรวมแล้ว  ททท.ยังเลือกเป็นรายสินค้ามาจัดเป็นกิจกรรมส่งเสริมการขายนำเสนอนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม(นิชมาร์เก็ต) ด้วย เช่น ภาคเหนือจะจัด  เฮอริเทจ เคาท์เจอร์ มาร์ท ตอบกระแสเทรนโลกที่เปลี่ยนแปลเข้าสู่ยุดของสังคมแห่งการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น  ส่วนภาคตะวันออกได้เลือก จ.นครนายก จัด อีโค แอนด์แอดเวนเจอร์มาร์ท เป็นต้น

“ในปีนี้ ททท.จะจัดงานเทศกาลเที่ยวไทย 5 ภาค อย่างปีที่ผ่านมา เพราะต้องการให้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับประเทศอย่างถาวร แต่เมื่อ ททท.ถูกตัดงบประมาณในส่วนของการจัดกิจกรรมไป 30% ทุกฝ่ายในททท.ก็โดยตัดไปในสัดส่วนใกล้ๆกัน  เราจึงต้องมองหาภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุน เพราะงานนี้ต้องใช้งบถึง 100 ล้านบาท แต่ได้รับจัดสรรมาเพียง 70 ล้านบาท” นายวันเสด็จกล่าว

**ดันโรงแรมสีเขียวสู้ศึกเอฟทีเอ

ทางด้านนายสุรพล ศรีตระกูล  นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า  ในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยวปีนี้ถือเป็นปีแรกของการเริ่มต้นเปิดเสรีด้านบริการ ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (FTA)  ในส่วนของแอตต้า  จะสร้างจุดขายของประเทศไทยให้โดดเด่นกว่าประเทศคู่แข่งขัน ด้วยการนำเสนอโรงแรมที่พัก ที่ได้รับโรงแรมใบไม้สีเขียว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่มูลนิธิใบไม้สีเขียวของประเทศไทยได้สร้างขึ้นมาเพื่อมอบให้เป็นมาตรฐานของการคัดกรองโรงแรมที่ที่ระบบการจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศยุโรป และอเมริกา  ตระหนักเรื่องสภาวะโลกร้อน หากต้องการเดินทางท่องเที่ยว จะแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เห็นได้จากการเลือกที่จะเดินทางระยะใกล้ เพื่อจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเดินทางหรือเลือกใช้สายการบินที่ใช้เครื่องบินที่ไม้ปล่อยมลภาวะที่ทำลายสิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งการเลือกโรงแรมที่พัก ก็ต้องเป็นสถานที่ที่มีการบริหารจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นกัน   เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองที่ส่วนช่วยลดสภาวะโลกร้อน

ดังนั้นการนำเสนอโรงแรมมาตรฐานใบไม้สีเขียวของประเทศไทย จะเป็นจุดแตกต่างจากประเทศคู่แข่งขัน เพราะมองว่า เมื่อเข้าสู่ระบบการค้าเสรี จะทำให้ราคาไม่ใช่ข้อแตกต่างอีกต่อไป  เราจึงต้องมองหาจุดขายใหม่ๆให้แก่ประเทศไทย เพราะมาตรฐานโรงแรมสีเขียว ในภูมิภาคนี้มีที่ประเทศไทย ซึ่งในอนาคตก็จะขยายไปยังประเทศอื่นๆด้วย แต่ก็ยังถือเป็นโครงการที่ริเริ่มโดยคนไทย

**สสปน.จัดโครงการกรีนมิตติ้งบูมไมซ์

ทางด้านนายอรรคพล สรสุชาติ  ผู้อำนวยการสำนักงานจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. กล่าวว่า ในส่วนของ สสปน. มีโครงการ กรีน มิตติ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆโครงการของสสปน.ที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นตลาดการจัดประชุม สัมมนา และการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล

สำหรับ กรีน มิตติ้ง  เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางในการสนับสนุนและผลักดันผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ให้มีมาตรฐานด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม และกำหนดเป็นนโยบายในการดำเนินธุรกิจ   ขณะเดียวกัน ภาครัฐบาลก็ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานเลือกที่จะเดินทางจัดงานสัมมนาในต่างจังหวัดแบบไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

**เอ็น.ซี.ซี.นำร่องศูนย์ประชุมสีเขียว

นายศักดิ์ชัย  ภัทรปรีชากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส  บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กล่าวว่า ได้จัดทำโครงการ “กรีน มิตติ้ง แอนด์ เอ็กซิบิชั่น” โดยปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ของใช้สำหรับการจัดเลี้ยง และการให้บริการการจัดเลี้ยงแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อม เช่น มีวิธีการจัดการขยะที่เกิดจากการจัดเลี้ยง แบบวิธีธรรมชาติ  ลดการใช้กระดาษและพลาสติก เช่น คอฟฟี่เบรค  จะใช้น้ำตาลใส่ถ้วยไว้คอยบริการแทนที่จะใช้แบบซอง เป็นต้น

“เราเป็นศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ที่นำโครงการในด้านรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง   โดยจะใช้โครงการนี้เจาะตลาดลูกค้าในต่างประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น แม้จะต้องเพิ่มงบด้านการบริหารจัดการเพื่อปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ราว 15% แต่มองว่าในระยะยาวคุ้มค่า และยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ศูนย์ประชุมด้วย” นายศักดิ์ชัย กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น