Climate-gate (ไคลเมตเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฤษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เดือนที่แล้วมีข่าวไคลเมตเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิดเผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮก (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิดจรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คนทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อชดเชยกับการปล่อยกาซคาร์บอน (carbon debt) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูลที่ผิดๆ
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 9 ปีที่ผ่านมานี้ โลกเย็นลงไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 – 2 องศาฟาเรนไฮต์ในอีก 100 ปีข้างหน้าwww.cfact.tv
ในยุคกลางในประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Mediaeval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความร้อนที่อ้างว่าโลกร้อนขึ้นนั้นเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างตามวงจรของธรรมชาติ ประมาณ ปี ค.ศ 1975 นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นหลายท่านทำนายว่าจะมียุคน้ำแข็ง (Ice Age) แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าโลกร้อนขึ้นเมื่อมีการทำนายตรงกันข้ามเช่นนี้แล้วจะให้เราเชื่อฝ่ายไหน
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลังจะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่างๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice )
ก้อนน้ำแข็ง ice sheet ในประเทศกรีนแลนด์ ก็ยังเป็นปกติอยู่ไม่ได้ลดลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ.1992 ถึง 2003 เพิ่มขึ้น 5.4 ซ.ม.ต่อปี Johannessen et al.(2005) ในปี 1995 นักวิทยาศาสตร์ของ IPCC หน่วยงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับภาวะอากาศยืนยันว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่มีงานวิจัยรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงของภาวะอากาศ (climate-change) ทั้งหมด หรือบางส่วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่แล้วภายในปีเดียวกันก็กลับมีรายงานว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนซึ่งน่าจะมีวาระซ่อนเร้นเกิดขึ้นกับ IPCC
ถ้าเราหยุดทุกอย่างในโลกนี้กลับไปอยู่แบบยุคดึกดำบรรพ์ไม่มีไฟฟ้าไม่มีรถยนต์ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โลกจะเย็นลงเพียง 1/40 องศา C ต่อปีเท่านั้น Waxman-Markey
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา Copenhagen Treaty กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน
1. น้ำมัน ไฟฟ้า ค่าขนส่งและค่าเดินทางจะแพงขึ้น 2.ถ้าน้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเพราะสิ่งของแพงขึ้น 3.ค่าโดยสารเครื่องบินแพงขึ้น เพราะต่างประเทศจะเก็บภาษีคาร์บอน เพราะเครื่องบินจะพ่นคาร์บอนออกมา 4.การขับรถยนต์จะน้อยลงเพราะถูกเก็บภาษีคาร์บอนและถูกมองว่าทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะใช้น้ำมันที่พ่นคาร์บอนออกมา 5.โรงงานและร้านค้าอาจจะต้องปิดกิจการ 6.เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีของประเทศไทยจะถูกต่างชาติควบคุม เพราะ มีกฎหมายภาษีคาร์บอน และในที่สุดอาจจะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจแบบระบบสังคมนิยมซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน 7.ระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยซึ่งมีรัฐธรรมนูญอาจจะถูกทำลายไป เพราะ ต่างชาติหรือสหประชาชาติมีอำนาจที่จะมาควบคุมการปกครองของประเทศโดยวิธีเผด็จการโดยเราไม่มีสิทธิ์คัดค้านหรือเลือกเจ้าหน้าที่ของต่างชาติ (รัฐบาลโลก) 8.อำนาจอธิปไตยของเราจะถูกลิดรอนเพราะจะมีรัฐบาลโลกที่ใช้วิธีเผด็จการ 9.Copenhagen Treaty จะเริ่มตั้งรัฐบาลโลกซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการ เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกผู้นำของโลกและเราต้องอยู่ใต้อำนาจหรือคำสั่งของเขาซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
สรุปแล้วถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นสัญญา Copenhagen Treaty on Global Warming ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายอย่างมากและประชาชนจะตกอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลโลกตลอดไป
สนธิสัญญาโคเปนเฮเกน มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโลก ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์แล้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์จะทำให้ก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ แต่มีข้อมูลใหม่เมื่อเดือนที่แล้วจากงานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก กาซ CO2 และก๊าซเรืองกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมิจะเพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตก www.copenhagenclimatechallenge.org
การประชุมที่โคเปนเฮเกนมีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้งรัฐบาลโลก
ข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี - ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความกล้าหาญไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน Copenhagen Treaty เพราะเรื่องโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาเพราะหากร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพ ประชาธิไตย เศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา
อ้างอิง :
www.cfact.tv
Google: climate-gate
www.climatedepot.com
**น.พ.โชติช่วง ชุตินธร อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฤษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เดือนที่แล้วมีข่าวไคลเมตเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิดเผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮก (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิดจรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คนทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อชดเชยกับการปล่อยกาซคาร์บอน (carbon debt) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูลที่ผิดๆ
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 9 ปีที่ผ่านมานี้ โลกเย็นลงไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 – 2 องศาฟาเรนไฮต์ในอีก 100 ปีข้างหน้าwww.cfact.tv
ในยุคกลางในประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Mediaeval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความร้อนที่อ้างว่าโลกร้อนขึ้นนั้นเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างตามวงจรของธรรมชาติ ประมาณ ปี ค.ศ 1975 นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นหลายท่านทำนายว่าจะมียุคน้ำแข็ง (Ice Age) แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าโลกร้อนขึ้นเมื่อมีการทำนายตรงกันข้ามเช่นนี้แล้วจะให้เราเชื่อฝ่ายไหน
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลังจะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่างๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice )
ก้อนน้ำแข็ง ice sheet ในประเทศกรีนแลนด์ ก็ยังเป็นปกติอยู่ไม่ได้ลดลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ.1992 ถึง 2003 เพิ่มขึ้น 5.4 ซ.ม.ต่อปี Johannessen et al.(2005) ในปี 1995 นักวิทยาศาสตร์ของ IPCC หน่วยงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับภาวะอากาศยืนยันว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่มีงานวิจัยรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงของภาวะอากาศ (climate-change) ทั้งหมด หรือบางส่วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่แล้วภายในปีเดียวกันก็กลับมีรายงานว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนซึ่งน่าจะมีวาระซ่อนเร้นเกิดขึ้นกับ IPCC
ถ้าเราหยุดทุกอย่างในโลกนี้กลับไปอยู่แบบยุคดึกดำบรรพ์ไม่มีไฟฟ้าไม่มีรถยนต์ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โลกจะเย็นลงเพียง 1/40 องศา C ต่อปีเท่านั้น Waxman-Markey
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา Copenhagen Treaty กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน
1. น้ำมัน ไฟฟ้า ค่าขนส่งและค่าเดินทางจะแพงขึ้น 2.ถ้าน้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเพราะสิ่งของแพงขึ้น 3.ค่าโดยสารเครื่องบินแพงขึ้น เพราะต่างประเทศจะเก็บภาษีคาร์บอน เพราะเครื่องบินจะพ่นคาร์บอนออกมา 4.การขับรถยนต์จะน้อยลงเพราะถูกเก็บภาษีคาร์บอนและถูกมองว่าทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะใช้น้ำมันที่พ่นคาร์บอนออกมา 5.โรงงานและร้านค้าอาจจะต้องปิดกิจการ 6.เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีของประเทศไทยจะถูกต่างชาติควบคุม เพราะ มีกฎหมายภาษีคาร์บอน และในที่สุดอาจจะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจแบบระบบสังคมนิยมซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน 7.ระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยซึ่งมีรัฐธรรมนูญอาจจะถูกทำลายไป เพราะ ต่างชาติหรือสหประชาชาติมีอำนาจที่จะมาควบคุมการปกครองของประเทศโดยวิธีเผด็จการโดยเราไม่มีสิทธิ์คัดค้านหรือเลือกเจ้าหน้าที่ของต่างชาติ (รัฐบาลโลก) 8.อำนาจอธิปไตยของเราจะถูกลิดรอนเพราะจะมีรัฐบาลโลกที่ใช้วิธีเผด็จการ 9.Copenhagen Treaty จะเริ่มตั้งรัฐบาลโลกซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการ เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกผู้นำของโลกและเราต้องอยู่ใต้อำนาจหรือคำสั่งของเขาซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
สรุปแล้วถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นสัญญา Copenhagen Treaty on Global Warming ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายอย่างมากและประชาชนจะตกอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลโลกตลอดไป
สนธิสัญญาโคเปนเฮเกน มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโลก ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์แล้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์จะทำให้ก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ แต่มีข้อมูลใหม่เมื่อเดือนที่แล้วจากงานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก กาซ CO2 และก๊าซเรืองกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมิจะเพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตก www.copenhagenclimatechallenge.org
การประชุมที่โคเปนเฮเกนมีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้งรัฐบาลโลก
ข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี - ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความกล้าหาญไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน Copenhagen Treaty เพราะเรื่องโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาเพราะหากร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพ ประชาธิไตย เศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา
อ้างอิง :
www.cfact.tv
Google: climate-gate
www.climatedepot.com
**น.พ.โชติช่วง ชุตินธร อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม