ปตท.เตรียมแก้ลำ คำสั่งระงับชั่วคราว "มาบตาพุด" เดินแผนเกลือจิ้มเกลือ ประกาศยื่นศาลปกครองกลางวินิจฉัย 9 โครงการ ใช้ยันต์ "ครม.-สยามยามาโตะ" เบิกทางพ้นทุกข์ "บิ๊กไฝ" ท่องคาถา เกิดก่อน รธน.ปี 50
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยระบุว่า ในสัปดาห์หน้า บริษัทในกลุ่ม ปตท. จะมีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอคำวินิจฉัยว่า จะให้เดินหน้าโครงการต่อได้หรือไม่
สำหรับ 9 โครงการซึ่งเป็นกลุ่มที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติยื่นเรื่องให้ศาลปกครองพิจารณา ซึ่ง ปตท. มีความหวังในแง่ดี หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ บริษัทเหล็กสยามยามาโตะ เดินหน้าได้ เพราะโครงการเหล่านี้บางส่วนมีหลักเกณฑ์เดียวกันคือ ได้มีการอนุมัติผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลบังคับใช้
โดยทั้ง 9 โครงการของ ปตท. ได้แก่ โรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 – โครงการท่อส่งก๊าซฯ ไปยังบริษัทในกลุ่มของ ปตท. โครงการปรับปรุงโรงผลิตโอเลฟินส์(ก่อสร้างเตาแครกกิ้งสำรอง) 2 โครงการ โครงการขยายกำลังผลิตพีอี 50,000 ตัน ของ ปตท.เคมิคอล โครงการส่วนขยาย BPEX (เม็ดพลาสติกความหนาแน่นสูง HDPE) -โครงการการติดตั้งหน่วยผลิต Compound Production Unit ของ BPEX ของ บริษัท บางกอกโพลีเอททิลีน โครงการผลิตเอทานอลเอมีนของบริษัทไทยเอทานอลเอมีน และโครงการการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการผลิตสารฟีนอล ของ พีทีทีฟีนอล
ส่วนแผนการควบรวมบริษัทย่อย 4 กิจการในกลุ่ม ได้แก่ ไออาร์พีซี ไทยออยล์ พีทีทีเออาร์ และปตท.เคมิคอล คาดจะเริ่มได้ในไตรมาสแรก ปี 2553 หลังกรณีปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย และคาดว่ารายได้ปีหน้าจะเติบโตร้อยละ 20 ขณะที่ปีนี้หดตัวร้อยละ 20
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2553 ปตท. คาดว่า จะมีกำไรและรายได้ดีขึ้นกว่าปีนี้ เพราะกำลังผลิตของบริษัทลูกโรงใหม่ๆ เริ่มเห็นเต็มที่ประกอบกับราคาน้ำมันแพงขึ้น โดยคาดว่าจะเฉลี่ย 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จึงคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% โดยในส่วนนี้ได้บวกรวมปัญหามาบตาพุดไปแล้ว ส่วนรายได้ปีนี้จะลดลง 20% แต่มีกำไรใกล้เคียงกับปีที่แล้ว