บอดี้เชพกรุ๊ป รับปีนี้เติบโตพลาดเป้าได้แค่ 12% จากเป้าเดิม 25% เปิดแผนปีหน้า รุกหนักทั้งเพิ่มสาขาและเพิ่มตัวสินค้า ด้วยงบลงทุนเพิ่ม 270 ล้านบาท
นายภูพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอดี้เชพ คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในปีหน้า ( 2553 ) บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ 270 ล้านบาท แบ่งเป็น การขยายสาขาของบอดี้เชพ จำนวน 60 ล้านบาท เพิ่มอย่างต่ำ 3 สาขาคือที่ เค-วิลเลจ เดอะมอลล์ท่าพระและขอนแก่น ในไตรมาสแรก และจะมีช่วงปลายปีอีก ซึ่งปีนี้เปิดใหม่ 3 สาขา, งบตลาด 100 ล้านบาท เพิ่มจากปีนี้ 15% จะเน้นการทำแบบบีโลว์เดอะไลน์มากกว่า 70% เน้นการทำโรดโชว์เพิ่มความถี่มากขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 5-6 ครั้งจากเดิมทำเดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อสร้างแบรนด์สินค้า , ลงทุนร้านแบบคีออส 4.5 ล้านบาท, งบวิจัยและพัฒนา 10 ล้านบาท และงบลงทุนอุปกรณ์ 70 ล้านบาท
นอกจากนั้นก็เป็นแผนการเปิดร้านแบรนด์คริสตี้ฟรองซ์ซึ่งเน้นขายแฟรนไชส์นั้น จะเปิดอีกอย่างต่ำ 4 สาขา จากปัจจุบันที่มี 43 สาขา (โดยในปี 2552 เปิดใหม่ 6 สาขา) ส่วนงบที่เหลือจะใช้ในการลงทุนเปิดร้านบอดี้เชพคาเฟ่อีกซึ่งเป็นร้านที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆรวมทั้งกาแฟด้วย
โดยในปี2553 บริษัทฯยังคงใช้กลยุทธ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ซึ่งล่าสุดได้แต่งตั้ง เมทินี กิ่งโพยม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์บอดี้เชพ เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์และสร้างแรงจูงใจในการดึงลูกค้าได้ด้วย ซึ่งสัดส่วนของลูกค้าของบอดี้เชพปัจจุบันนี้มีกลุ่มผู้หญิงหลังคลอดมากที่สุดกว่า 40% ผู้หญิงทำงาน 30% ผู้ชาย 15% และอื่นๆ 10%
ขณะเดียวกันมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 10 รายการ ในนามบอดี้เชพ เช่น กาแฟ 3 in 1 และเครื่องดื่มคอลลาเจน และจะขยายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรูปร่างอื่นอีกเช่น ครีมฟื้นฟูทรวงอก เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค จากปัจจุบันมีสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มและอาหารประมาณ15 รายการ บริษัทฯเป้าหมายที่จะทำให้บอดี้เชพเป็นมากกว่า ศูนย์ลดน้ำหนักเพียงอย่างเดีย วโดยตั้งเป้าหมายจะเป็นศูนยย์วันสต๊อปเซอร์วิส เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายทั้งหมด ทั้งในแง่การบริการ และในแง่ของตัวสินค้า
สำหรับผลประกอบการของปีนี้ของกลุ่มบอดี้เชพ คาดว่า บอดี้เชพเป็นธุรกิจหลักจะมีรายได้ประมาณ 750 ล้านบาท หรือทั้งกลุ่มจะมีรายได้รวมเป็นประมาณ 1,150 ล้านบาท เติบโต 12% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะเติบโต 5% เนื่องจากว่า การแข่งขันของธุรกิจสถาบันลดน้ำหนักที่แข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการลดราคาคอร์สต่างๆลงมากกว่า 20% ในภาพรวม แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลดีในแง่ปริมาณคนเข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% เพราะว่าค่าบริการถูกลง และผู้บริโภคก็ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่างและสุขภาพเหมือนเดิม
ขณะที่ในปี 2553 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโต 25% และภายใน 5 ปีนับจากนี้ จะมีรายได้รวมเป็น 2,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จาก การบริการ 50% และรายได้จากผลิตภัณฑ์ 50% ทั้งนี้ตลาดรวมสถาบันลดน้ำหนักในไทยมีมูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยมี บอดี้เชพ ครองส่วนแบ่ง 30% คริสตี้ฟรองซ์ (ในเครือบอดี้เชพ) 15% สลิมอัพ 25% มารีฟรานซ์ 20% และแบรนด์อื่นๆ 10% โดยภาพรวมของตลาดลดน้ำหนักในปีนี้ผู้ประกอบการมีการขยายสาขาตามศูนย์การค้า มีการใช้งบโฆษณาน้อยลง แต่เน้นการประชาสัมพันธ์มากขึ้น และจัดอีเวนต์ที่เป็นขนาดเล็กมากขึ้น มีการลดราคาโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง
นายภูพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอดี้เชพ คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในปีหน้า ( 2553 ) บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ 270 ล้านบาท แบ่งเป็น การขยายสาขาของบอดี้เชพ จำนวน 60 ล้านบาท เพิ่มอย่างต่ำ 3 สาขาคือที่ เค-วิลเลจ เดอะมอลล์ท่าพระและขอนแก่น ในไตรมาสแรก และจะมีช่วงปลายปีอีก ซึ่งปีนี้เปิดใหม่ 3 สาขา, งบตลาด 100 ล้านบาท เพิ่มจากปีนี้ 15% จะเน้นการทำแบบบีโลว์เดอะไลน์มากกว่า 70% เน้นการทำโรดโชว์เพิ่มความถี่มากขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 5-6 ครั้งจากเดิมทำเดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อสร้างแบรนด์สินค้า , ลงทุนร้านแบบคีออส 4.5 ล้านบาท, งบวิจัยและพัฒนา 10 ล้านบาท และงบลงทุนอุปกรณ์ 70 ล้านบาท
นอกจากนั้นก็เป็นแผนการเปิดร้านแบรนด์คริสตี้ฟรองซ์ซึ่งเน้นขายแฟรนไชส์นั้น จะเปิดอีกอย่างต่ำ 4 สาขา จากปัจจุบันที่มี 43 สาขา (โดยในปี 2552 เปิดใหม่ 6 สาขา) ส่วนงบที่เหลือจะใช้ในการลงทุนเปิดร้านบอดี้เชพคาเฟ่อีกซึ่งเป็นร้านที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆรวมทั้งกาแฟด้วย
โดยในปี2553 บริษัทฯยังคงใช้กลยุทธ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ซึ่งล่าสุดได้แต่งตั้ง เมทินี กิ่งโพยม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์บอดี้เชพ เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์และสร้างแรงจูงใจในการดึงลูกค้าได้ด้วย ซึ่งสัดส่วนของลูกค้าของบอดี้เชพปัจจุบันนี้มีกลุ่มผู้หญิงหลังคลอดมากที่สุดกว่า 40% ผู้หญิงทำงาน 30% ผู้ชาย 15% และอื่นๆ 10%
ขณะเดียวกันมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 10 รายการ ในนามบอดี้เชพ เช่น กาแฟ 3 in 1 และเครื่องดื่มคอลลาเจน และจะขยายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรูปร่างอื่นอีกเช่น ครีมฟื้นฟูทรวงอก เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค จากปัจจุบันมีสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มและอาหารประมาณ15 รายการ บริษัทฯเป้าหมายที่จะทำให้บอดี้เชพเป็นมากกว่า ศูนย์ลดน้ำหนักเพียงอย่างเดีย วโดยตั้งเป้าหมายจะเป็นศูนยย์วันสต๊อปเซอร์วิส เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายทั้งหมด ทั้งในแง่การบริการ และในแง่ของตัวสินค้า
สำหรับผลประกอบการของปีนี้ของกลุ่มบอดี้เชพ คาดว่า บอดี้เชพเป็นธุรกิจหลักจะมีรายได้ประมาณ 750 ล้านบาท หรือทั้งกลุ่มจะมีรายได้รวมเป็นประมาณ 1,150 ล้านบาท เติบโต 12% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะเติบโต 5% เนื่องจากว่า การแข่งขันของธุรกิจสถาบันลดน้ำหนักที่แข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการลดราคาคอร์สต่างๆลงมากกว่า 20% ในภาพรวม แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลดีในแง่ปริมาณคนเข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% เพราะว่าค่าบริการถูกลง และผู้บริโภคก็ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่างและสุขภาพเหมือนเดิม
ขณะที่ในปี 2553 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโต 25% และภายใน 5 ปีนับจากนี้ จะมีรายได้รวมเป็น 2,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จาก การบริการ 50% และรายได้จากผลิตภัณฑ์ 50% ทั้งนี้ตลาดรวมสถาบันลดน้ำหนักในไทยมีมูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยมี บอดี้เชพ ครองส่วนแบ่ง 30% คริสตี้ฟรองซ์ (ในเครือบอดี้เชพ) 15% สลิมอัพ 25% มารีฟรานซ์ 20% และแบรนด์อื่นๆ 10% โดยภาพรวมของตลาดลดน้ำหนักในปีนี้ผู้ประกอบการมีการขยายสาขาตามศูนย์การค้า มีการใช้งบโฆษณาน้อยลง แต่เน้นการประชาสัมพันธ์มากขึ้น และจัดอีเวนต์ที่เป็นขนาดเล็กมากขึ้น มีการลดราคาโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง