"นิด้า" มองภาพรวม ศก.ปี 53 สดใส ตลาดหุ้นยังขาขึ้น แนะรัฐบาลฟื้นความเชื่อมั่น "มาบตาพุด" ห่วงกระทบเป็นวงกว้าง ชี้ ไม่ใช่แค่ที่ลงทุนไปแล้ว 5 แสนล้าน แต่ต่างชาติกำลังจับตาการแก้ปัญหา
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (MPA NIDA) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะมีอัตราการเติบโตในระดับ 2.5-3.0% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2553 ขณะที่อัตราการขยายตัวทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 2.7%
ส่วนในปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวติดลบประมาณ 3.5-4% ถึงแม้ว่าช่วงไตรมาส 4 ปี 2552 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณ 2% ก็ตาม
นายมนตรี กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2552 เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวเลขการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2552 อยู่ที่ระดับ 65% จากที่เคยลงไปต่ำสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ 54.8% เช่นเดียวกับตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก รวมถึงตัวเลขการท่องเที่ยวก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับโดยเฉพาะเดือนตุลาคม 2552 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.4%
"เศรษฐกิจไทยก็มีสัญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ โดยการส่งออกมีออเดอร์มากขึ้น การผลิตเริ่มดีขึ้น รวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ ทั้งหมดถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ"
ในส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สดใสตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 750 จุด ขณะที่ปี 53 ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 900 จุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นคือ กลุ่มส่งออก โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ และธุรกิจเกษตร กลุ่มพลังงาน สื่อสารโทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปี 2553 คาดว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยคาดว่าจะเริ่มปรับขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2553 และคาดว่าในช่วงปลายปีจะอยู่ที่ระดับ 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.25%
นายมนตรี กล่าวว่า ปัจจัยภายในที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญและจับตาเป็นพิเศษมีอยู่ 5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ เพราะจะส่งผลต่อภาคการส่งออกที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, เพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ รวมถึงหาช่องทางตลาดส่งออกใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง เช่น จีนและอินเดียที่คาดว่าในปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตในระดับ 8.6% และ 6.5% ตามลำดับ
ไทยต้องเร่งพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งหาตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ, ใช้งบประมาณปี 53 และเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวมกันกว่า 1.15 ล้านล้านบาทให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงผลตอบแทนจากโครงการต่างๆ และ เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะกรณีปัญหาระงับโครงการลงทุนที่มาบตาพุด ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องรีบดำเนินการแก้ปัญหาให้เกิดความชัดเจนโดยเร็วที่สุด เพราะถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและอาจโยกฐานไปลงทุนประเทศอื่น
"เรื่องปัญหามาบตาพุดเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เพราะผลกระทบจะไม่ได้เกิดเฉพาะแต่ 65 โครงการซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินกว่า 5 แสนล้านบาทที่หยุดชะงักไป แต่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อโครงการอื่นๆ ด้วย เพราะใน 65 โครงการดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับอีกหลายอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างชาติกำลังจับตามองอยู่ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมาโดยเร็วที่สุด"