ส.อ.ท.วิตกปี 2553 แรงงานในภาคการผลิตส่อขาดแคลน 2-3 แสนคนหลังบางกลุ่มเริ่มขาดแคลนแล้วโดยเฉพาะช่างฝีมือในกลุ่มรองเท้าและสิ่งทอ เหตุแรงงานเคลื่อนย้ายไปทำภาคการเกษตรที่ราคาพืชผลสูงขึ้นมาก กลุ่มรองเท้าชี้ออร์เดอร์เริ่มมาไม่มากยังขาดช่างฝีมือ 3,000-4,000 คนแล้วหวั่นออร์เดอร์ฟื้นเร็วอาจจะยิ่งขาดหนัก
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสายงานแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการจ้างงานในปี 2553 จะมีเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าภาคการผลิตจะขาดแรงงานทั่วไปรวมไม่ต่ำกว่า 2-3แสนคนโดยเฉพาะระดับช่างฝีมือภายหลังจากที่คำสั่งซื้อสินค้าหรือออร์เดอร์ส่งออกเริ่มทยอยกลับมาภายหลังที่เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาถึงจุดต่ำสุดและเริ่มกลับมาค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นชัดเจนว่าบางอุตสาหกรรมขาดแคลนแรงงานฝีมือโดยเฉพาะกลุ่มสิ่งทอและรองเท้า ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“เรื่องตกงานไม่น่าห่วงในปี 2553 แต่เด็กจบใหม่ซึ่งจบปริญญาตรีคงเป็นปัญหาตกงานเช่นเคยเพราะภาคการผลิตส่วนใหญ่ต้องการแรงงานระดับล่างและเป็นช่างฝีมือที่ขณะนี้เริ่มขาดแคลนบ้างแล้วแต่เรายังไม่สามารถประเมินตัวเลขที่ชัดเจนได้ ซึ่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่น่าห่วงเพราะเขาเริ่มปรับตัวเน้นใช้เทคโนโลยีแทนคนแต่ห่วงคืออุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอี”นายทวีกิจกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันได้รับรายงานจากสมาชิกส.อ.ท.หลายกลุ่มระบุตรงกันว่า แรงงานระดับช่างฝีมือและแรงงานทั่วไปทยอยกลับภูมิลำเนาเนื่องจากพืชผลทางการเกษตรมีราคาดีทำให้เป็นที่กังวลว่าในปี 2553 แรงงานเหล่านี้อาจจะไม่ยอมกลับเข้ามาทำงานในภาคการผลิตเนื่องจากแนวโน้มราคาสินค้าภาคการเกษตรภาพรวมมีราคาที่สูงขึ้นมากโดยเฉพาะข้าว อ้อย เป็นต้น
ส่วนปัญหามาบตาพุดนั้นเบื้องต้นจะกระทบกับแรงงานในภาคการรับเหมาก่อสร้างก่อนจึงไม่มีผลต่อแรงงานภาคอุตสาหกรรมมากนักและเชื่อว่าทุกอย่างสรุปก็จะกลับมาเดินเครื่องการผลิตได้แต่อาจจะช้ากว่าแผนที่วางไว้เท่านั้น
นายสกล ศิกษมัต นายกสมาคมรองเท้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ผลิตรองเท้ากำลังประสบปัญหาขาดแคลนช่างฝีมือประมาณ 3,000-4,000 คนและเป็นห่วงว่าจะขาดแคลนเพิ่มขึ้นอีกในปี 2553 เนื่องจากขณะนี้คำสั่งซื้อเริ่มมีการทยอยกลับเข้ามาบ้างแล้วโดยเฉพาะในกลุ่มรองเท้าแฟชั่น รองเท้าแตะระดับราคาสูง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปบางประเทศได้หันมาสั่งไทยผลิตแทนจีนเพื่อถ่วงดุลเรื่องการขาดดุลทางการค้ากับจีน
“ปัญหาแรงงานฝีมือเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งเราพยายามอธิบายให้ทุกส่วนเข้าใจว่าเมื่อแรงงานอยู่จุดนี้แล้วมันเหมือนเป็นวิชาชีพติดตัวเขาจะไปไหนก็ได้ค่าแรงก็จะสูงขึ้นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจจุดนี้นัก ประกอบกับทิศทางพืชผลทางการเกษตรจะมีราคาดีแรงงานกลุ่มนี้ก็มักจะกลับบ้านไปทำภาคการเกษตรแทน”นายสกลกล่าว
สำหรับทิศทางการส่งออกรองเท้าในปีนี้ภาพรวมคาดว่าจะติดลบประมาณ 17% ซึ่งถือว่าติดลบต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ว่าจะติดลบมากกว่า 20% ส่วนภาวะการแข่งขันนั้นแม้ว่าเวียดนามจะลดค่าเงินด่องแต่ภาพรวมสินค้าของไทยก็จะสามารถแข่งขันได้เพราะไทยเส้นสินค้าคุณภาพโดยเฉพาะรองเท้าในกลุ่มแฟชั่นซึ่งจุดนี้ไม่ได้เป็นห่วงเท่าไหร่นักถ้ากังวลจะเป็นปัญหาการขาดแคลนแรงานมากกว่าเพราะหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วในปี 2553 จะลำบากแม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกจะต่ำสุดแต่ก็ยังฟื้นตัวแบบค่อยๆ ฟื้น
นายขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยอดคำสั่งซื้อในไตรมาสที่4เริ่มปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเพิ่มงานล่วงเวลา (โอที) และบางโรงงานต้องรับคนงานเพิ่ม โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ มีความต้องการแรงงานเพิ่มถึงประมาณ 10,000คน เพราะคำสั่งซื้อเข้ามาเร็วและมีระยะเวลาส่งมอบ ทำให้ต้องเพิ่มโอทีและหาแรงงานเสริมเพื่อเร่งผลิตให้ทันตามที่ลูกค้าต้องการ ที่ผ่านมาผู้นำเข้าจะสั่งซื้อสินค้าแบบสัญญาระยะยาว และทยอยส่งมอบใน 6-12 เดือน แต่ปัจจุบันผู้นำเข้าทำสัญญาระยะสั้น ส่งมอบภายใน 30-45 วัน เท่านั้น
สำหรับการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปี2553 มีความแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นบวก ส่วนปีนี้คาดว่าส่งออกจะติดลบ 15-20% โดยแบ่งเป็นส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 10% และเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 15-20% อย่างไรก็ตามการส่งออกกลุ่มไฟฟ้าฯคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีจึงจะมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับปี 2551
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสายงานแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการจ้างงานในปี 2553 จะมีเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าภาคการผลิตจะขาดแรงงานทั่วไปรวมไม่ต่ำกว่า 2-3แสนคนโดยเฉพาะระดับช่างฝีมือภายหลังจากที่คำสั่งซื้อสินค้าหรือออร์เดอร์ส่งออกเริ่มทยอยกลับมาภายหลังที่เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาถึงจุดต่ำสุดและเริ่มกลับมาค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นชัดเจนว่าบางอุตสาหกรรมขาดแคลนแรงงานฝีมือโดยเฉพาะกลุ่มสิ่งทอและรองเท้า ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“เรื่องตกงานไม่น่าห่วงในปี 2553 แต่เด็กจบใหม่ซึ่งจบปริญญาตรีคงเป็นปัญหาตกงานเช่นเคยเพราะภาคการผลิตส่วนใหญ่ต้องการแรงงานระดับล่างและเป็นช่างฝีมือที่ขณะนี้เริ่มขาดแคลนบ้างแล้วแต่เรายังไม่สามารถประเมินตัวเลขที่ชัดเจนได้ ซึ่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่น่าห่วงเพราะเขาเริ่มปรับตัวเน้นใช้เทคโนโลยีแทนคนแต่ห่วงคืออุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอี”นายทวีกิจกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันได้รับรายงานจากสมาชิกส.อ.ท.หลายกลุ่มระบุตรงกันว่า แรงงานระดับช่างฝีมือและแรงงานทั่วไปทยอยกลับภูมิลำเนาเนื่องจากพืชผลทางการเกษตรมีราคาดีทำให้เป็นที่กังวลว่าในปี 2553 แรงงานเหล่านี้อาจจะไม่ยอมกลับเข้ามาทำงานในภาคการผลิตเนื่องจากแนวโน้มราคาสินค้าภาคการเกษตรภาพรวมมีราคาที่สูงขึ้นมากโดยเฉพาะข้าว อ้อย เป็นต้น
ส่วนปัญหามาบตาพุดนั้นเบื้องต้นจะกระทบกับแรงงานในภาคการรับเหมาก่อสร้างก่อนจึงไม่มีผลต่อแรงงานภาคอุตสาหกรรมมากนักและเชื่อว่าทุกอย่างสรุปก็จะกลับมาเดินเครื่องการผลิตได้แต่อาจจะช้ากว่าแผนที่วางไว้เท่านั้น
นายสกล ศิกษมัต นายกสมาคมรองเท้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ผลิตรองเท้ากำลังประสบปัญหาขาดแคลนช่างฝีมือประมาณ 3,000-4,000 คนและเป็นห่วงว่าจะขาดแคลนเพิ่มขึ้นอีกในปี 2553 เนื่องจากขณะนี้คำสั่งซื้อเริ่มมีการทยอยกลับเข้ามาบ้างแล้วโดยเฉพาะในกลุ่มรองเท้าแฟชั่น รองเท้าแตะระดับราคาสูง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปบางประเทศได้หันมาสั่งไทยผลิตแทนจีนเพื่อถ่วงดุลเรื่องการขาดดุลทางการค้ากับจีน
“ปัญหาแรงงานฝีมือเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งเราพยายามอธิบายให้ทุกส่วนเข้าใจว่าเมื่อแรงงานอยู่จุดนี้แล้วมันเหมือนเป็นวิชาชีพติดตัวเขาจะไปไหนก็ได้ค่าแรงก็จะสูงขึ้นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจจุดนี้นัก ประกอบกับทิศทางพืชผลทางการเกษตรจะมีราคาดีแรงงานกลุ่มนี้ก็มักจะกลับบ้านไปทำภาคการเกษตรแทน”นายสกลกล่าว
สำหรับทิศทางการส่งออกรองเท้าในปีนี้ภาพรวมคาดว่าจะติดลบประมาณ 17% ซึ่งถือว่าติดลบต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ว่าจะติดลบมากกว่า 20% ส่วนภาวะการแข่งขันนั้นแม้ว่าเวียดนามจะลดค่าเงินด่องแต่ภาพรวมสินค้าของไทยก็จะสามารถแข่งขันได้เพราะไทยเส้นสินค้าคุณภาพโดยเฉพาะรองเท้าในกลุ่มแฟชั่นซึ่งจุดนี้ไม่ได้เป็นห่วงเท่าไหร่นักถ้ากังวลจะเป็นปัญหาการขาดแคลนแรงานมากกว่าเพราะหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วในปี 2553 จะลำบากแม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกจะต่ำสุดแต่ก็ยังฟื้นตัวแบบค่อยๆ ฟื้น
นายขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยอดคำสั่งซื้อในไตรมาสที่4เริ่มปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเพิ่มงานล่วงเวลา (โอที) และบางโรงงานต้องรับคนงานเพิ่ม โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ มีความต้องการแรงงานเพิ่มถึงประมาณ 10,000คน เพราะคำสั่งซื้อเข้ามาเร็วและมีระยะเวลาส่งมอบ ทำให้ต้องเพิ่มโอทีและหาแรงงานเสริมเพื่อเร่งผลิตให้ทันตามที่ลูกค้าต้องการ ที่ผ่านมาผู้นำเข้าจะสั่งซื้อสินค้าแบบสัญญาระยะยาว และทยอยส่งมอบใน 6-12 เดือน แต่ปัจจุบันผู้นำเข้าทำสัญญาระยะสั้น ส่งมอบภายใน 30-45 วัน เท่านั้น
สำหรับการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปี2553 มีความแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นบวก ส่วนปีนี้คาดว่าส่งออกจะติดลบ 15-20% โดยแบ่งเป็นส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 10% และเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 15-20% อย่างไรก็ตามการส่งออกกลุ่มไฟฟ้าฯคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีจึงจะมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับปี 2551