“วรรณรัตน์”เผยต่ออายุมาตรการตรึงราคาแอลพีจีที่จะหมดลงส.ค. 53 หรือไม่ต้องรอลุ้นโรงแยกก๊าซฯที่ 6 ชี้ชะตาหากดีเลย์ออกไปจากแผนที่กำหนดผลิตเต็มที่พ.ค. 53 การนำเข้ากระฉูดเกินล้านตันส่อเค้ากองทุนน้ำมันฯป่วน กบง.ไฟเขียวชดเชยแอลพีจีเกิน500ล้านบาทต่อเดือนแล้ว
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) วานนี้( 25 พ.ย.) ว่า มาตรการของรัฐบาลที่มีนโยบายตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)ไว้จนถึงส.ค. 53 หลังจากนั้นอาจจะต้องมาทบทวนว่าควรจะตรึงหรือไม่อย่างไร โดยปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาคือการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของบมจ.ปตท.ว่าจะเป็นไปตามแผนที่จะต้องเสร็จเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ได้เต็มที่ในพ.ค. 53 หรือไม่เพราะหากต้องล่าช้าออกไปการนำเข้าแอลพีจีก็จะยังคงมีอยู่
“ ต้องดูหลายปัจจัยทั้งโรงแยกก๊าซที่ 6 ว่าจะเดินหน้าได้ตามแผนไหมเนื่องจากขณะนี้ยังต้องรอคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเนื่องจากติด 1 ใน 76 กิจการกรณีมาบตาพุด ซึ่งแผนกำหนดม.ค.53จะเริ่มทยอยส่งแอลพีจีป้อนตลาดได้ 5 หมื่นตันและจะเป็นแสนตันพ.ค. 53 ก็น่าจะชดเชยการนำเข้าได้ทั้งหมด รวมถึงฐานะกองทุนน้ำมันฯด้วย ”นายวรรณรัตน์กล่าว
ทั้งนี้จนถึงส.ค. 53 กองทุนน้ำมันฯยังสามารถบริหารจัดการที่จะดูแลการนำเข้าแอลพีจีได้อยู่(กรณีไม่มีการอุดหนุนราคาดีเซลจากปัจจุบัน) โดยขณะนี้กองทุนฯมีรายรับประมาณ 2,600 ล้านบาทต่อเดือน มีรายจ่ายประมาณ 1,700 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้มีรายได้สุทธิที่ 890 ล้านบาทต่อเดือน โดยหนี้เก่าและใหม่ของแอลพีจีที่ยังค้างจ่ายปตท.ล่าสุดอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท
สำหรับการนำเข้าแอลพีจีคาดว่าในปี 2553 จะอยู่ในระดับกว่า 7 แสนตันโดยล่าสุด 10 เดือนแรกของปีนี้มีการนำเข้า5.19 แสนตันคาดว่า 2 เดือนที่เหลือเฉลี่ยจะนำเข้าไม่ต่ำกว่าเดือนละแสนตัน เมื่อรวมกับการนำเข้าในปี 2551 ที่นำเข้าทั้งสิ้น 4.4 แสนตันส่งผลให้ไทยมีการนำเข้าแอลพีจีทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านตัน ส่วนราคาเฉลี่ยนำเข้า ธ.ค.คาดว่าจะอยู่ระดับ 600 เหรียญต่อตัน ส่วนสาเหตุที่นำเข้าเพิ่มส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้น 27% จากต้นปีที่อยู่ที่ 20%
รมว.พลังงานกล่าวว่า จากการนำเข้าแอลพีจีที่สูงขึ้นที่ประชุมกบง.จึงได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยการนำเข้าแอลพีจีได้เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาทตามการชดเชยการนำเข้าแอลพีจีที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน ทั้งนี้เนื่องจากล่าสุดการนำต.ค.อยู่ในระดับ1.1แสนตันทำให้กองทุนฯจ่ายชดเชยประมาณ 1,100 ล้านบาทซึ่งเกินกว่ามติกบง.เดิมที่กำหนดไว้ว่าไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อเดือน
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีให้มาเป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวี โดยแบ่งเงินสนับสนุนที่กบง.กำหนดไว้เดิม 1,200 ล้านบาทแยกเป็น 2 ส่วนคือ ส่นแรกใช้สำหรับการประกวดราคา(e-Auction) เพื่อจัดซื้อถังเอ็นจีวีและอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 3 หมื่นชุดชุดละ 35,000 บาท อีกส่วนใช้สนับสนุนการติดตั้งถังเอ็นจีวีและอุปกรณ์รวมทั้งรับประกันหลังการขาย 1 ปี หลังติดตั้งโดยไม่จำกัดระยะทางให้กับอู่ติดตั้งที่ได้มาตรฐานโดยจะสนับสนุนให้ตามวงเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
รายงานข่าวจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) แจ้งว่า การประชุมกพช.วันนี้(26พ.ย.) จะมีเรื่องพิจารณาเกี่ยวกับการย้ายที่ตั้งของโรงไฟฟ้าบางคล้า การอนุมัติการทำข้อตกลง(เอ็มโอยู) โรงไฟฟ้าถ่านหินเมย-กก กำลังผลิตประมาณ 300 กว่าเมกะวัตต์ ที่พม่า สัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) หงสาลิกไนต์ จากพม่าเป็นต้น
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) วานนี้( 25 พ.ย.) ว่า มาตรการของรัฐบาลที่มีนโยบายตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)ไว้จนถึงส.ค. 53 หลังจากนั้นอาจจะต้องมาทบทวนว่าควรจะตรึงหรือไม่อย่างไร โดยปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาคือการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของบมจ.ปตท.ว่าจะเป็นไปตามแผนที่จะต้องเสร็จเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ได้เต็มที่ในพ.ค. 53 หรือไม่เพราะหากต้องล่าช้าออกไปการนำเข้าแอลพีจีก็จะยังคงมีอยู่
“ ต้องดูหลายปัจจัยทั้งโรงแยกก๊าซที่ 6 ว่าจะเดินหน้าได้ตามแผนไหมเนื่องจากขณะนี้ยังต้องรอคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเนื่องจากติด 1 ใน 76 กิจการกรณีมาบตาพุด ซึ่งแผนกำหนดม.ค.53จะเริ่มทยอยส่งแอลพีจีป้อนตลาดได้ 5 หมื่นตันและจะเป็นแสนตันพ.ค. 53 ก็น่าจะชดเชยการนำเข้าได้ทั้งหมด รวมถึงฐานะกองทุนน้ำมันฯด้วย ”นายวรรณรัตน์กล่าว
ทั้งนี้จนถึงส.ค. 53 กองทุนน้ำมันฯยังสามารถบริหารจัดการที่จะดูแลการนำเข้าแอลพีจีได้อยู่(กรณีไม่มีการอุดหนุนราคาดีเซลจากปัจจุบัน) โดยขณะนี้กองทุนฯมีรายรับประมาณ 2,600 ล้านบาทต่อเดือน มีรายจ่ายประมาณ 1,700 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้มีรายได้สุทธิที่ 890 ล้านบาทต่อเดือน โดยหนี้เก่าและใหม่ของแอลพีจีที่ยังค้างจ่ายปตท.ล่าสุดอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท
สำหรับการนำเข้าแอลพีจีคาดว่าในปี 2553 จะอยู่ในระดับกว่า 7 แสนตันโดยล่าสุด 10 เดือนแรกของปีนี้มีการนำเข้า5.19 แสนตันคาดว่า 2 เดือนที่เหลือเฉลี่ยจะนำเข้าไม่ต่ำกว่าเดือนละแสนตัน เมื่อรวมกับการนำเข้าในปี 2551 ที่นำเข้าทั้งสิ้น 4.4 แสนตันส่งผลให้ไทยมีการนำเข้าแอลพีจีทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านตัน ส่วนราคาเฉลี่ยนำเข้า ธ.ค.คาดว่าจะอยู่ระดับ 600 เหรียญต่อตัน ส่วนสาเหตุที่นำเข้าเพิ่มส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้น 27% จากต้นปีที่อยู่ที่ 20%
รมว.พลังงานกล่าวว่า จากการนำเข้าแอลพีจีที่สูงขึ้นที่ประชุมกบง.จึงได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยการนำเข้าแอลพีจีได้เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาทตามการชดเชยการนำเข้าแอลพีจีที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน ทั้งนี้เนื่องจากล่าสุดการนำต.ค.อยู่ในระดับ1.1แสนตันทำให้กองทุนฯจ่ายชดเชยประมาณ 1,100 ล้านบาทซึ่งเกินกว่ามติกบง.เดิมที่กำหนดไว้ว่าไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อเดือน
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีให้มาเป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวี โดยแบ่งเงินสนับสนุนที่กบง.กำหนดไว้เดิม 1,200 ล้านบาทแยกเป็น 2 ส่วนคือ ส่นแรกใช้สำหรับการประกวดราคา(e-Auction) เพื่อจัดซื้อถังเอ็นจีวีและอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 3 หมื่นชุดชุดละ 35,000 บาท อีกส่วนใช้สนับสนุนการติดตั้งถังเอ็นจีวีและอุปกรณ์รวมทั้งรับประกันหลังการขาย 1 ปี หลังติดตั้งโดยไม่จำกัดระยะทางให้กับอู่ติดตั้งที่ได้มาตรฐานโดยจะสนับสนุนให้ตามวงเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
รายงานข่าวจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) แจ้งว่า การประชุมกพช.วันนี้(26พ.ย.) จะมีเรื่องพิจารณาเกี่ยวกับการย้ายที่ตั้งของโรงไฟฟ้าบางคล้า การอนุมัติการทำข้อตกลง(เอ็มโอยู) โรงไฟฟ้าถ่านหินเมย-กก กำลังผลิตประมาณ 300 กว่าเมกะวัตต์ ที่พม่า สัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) หงสาลิกไนต์ จากพม่าเป็นต้น
