ปตท.คาดกำไรปี 52 มีโอกาสทะลุ 5 หมื่นล้านบาท ฟุ้งผลงาน 9 เดือนแรก โกยไปแล้ว 4.4 หมื่นล้าน โดยเฉพาะไตรมาส 3 ที่ฟันไปเนื้อๆ 1.7 หมื่นล้าน มั่นใจ ไตรมาส 4 ทำกำไรได้แบบสบายๆ แย้มค่าการกลั่น-ค่าการตลาด หนุนกำไรโต
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2552 โดยระบุว่า ในปีนี้มีโอกาสที่กำไรสุทธิของ ปตท.น่าจะออกมาสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกของปีบริษัทมีกำไรแล้ว 4.4 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ปี 2552 ทำกำไรสูงถึง 1.7 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น ไตรมาส 4 ปี 2552 แม้ว่าสถานการณ์ราคาปิโตรเคมีและค่าการกลั่นอาจจะอ่อนตัวลงบ้าง แต่ก็ประเมินว่า ค่าการกลั่นจะลดลงมาอยู่ที่ 1-2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และไม่น่าจะต่ำกว่าระดับ 1.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาส 3 ปี 2552 มากนัก ขณะที่ราคาปิโตรเคมีก็จะยังคงอยู่ในระดับสูง หากราคาน้ำมันยังอยู่ในช่วง 65-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประกอบกับกำลังการผลิตจากตะวันออกกลางก็ล่าช้าออกไปด้วย
“เดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันยังยืนสูงกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาปิโตรเคมียังดี แม้ว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย หากสถานการณ์ไม่แตกต่างจากไตรมาส 3 มากนัก เราก็มีความหวังว่ากำไรจะสูงกว่าปีก่อนที่ 5.1 หมื่นล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ประเมินผลกระทบจากการลงทุนในมาบตาพุดที่ต้องหยุดชะงักไป หากไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ ซึ่งมีตัวเลขบนหลายสถานการณ์ แต่ยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ เนื่องจากยังคงมีความผันผวนสูง
ทั้งนี้ ปตท.ยอมรับว่า หากโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 6 ไม่สามารถเปิดได้ก็จะส่งผลให้กำลังการผลิตก๊าซลดลง และจะส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกเป็นลูกโซ่ ทั้งบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH เนื่องจากบริษัทลูกเป็นทั้งผู้ขายและผู้รับซื้อก๊าซ ซึ่งเชื่อว่า คดีนี้คงต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างมาก โดยเปรียบเทียบกับกรณีท่อก๊าซ ปตท.ต้องใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าจะได้ข้อสรุป
นายเทวินทร์ กล่าวว่า สำหรับปี 2553 บริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่จากแหล่งเจดีเอของ PTTEP และโรงแครกเกอร์ใหม่ กำลังผลิต 1 ล้านตัน ของ PTTCH ถือเป็นปัจจัยบวกของ ปตท. โดยคาดว่าจะมีปริมาณก๊าซจะเพิ่ม 8-10% ส่วนกำลังผลิตปิโตรเคมีจะเพิ่ม 40% น่าจะช่วยผลักดันรายได้ในปีหน้าให้สูงขึ้นจากปีนี้ได้
ขณะที่บริษัทยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีภาระการใช้เงินจำนวนมาก รวมทั้งไม่มีการเรียกคืนหนี้จากสถาบันการเงิน เพราะความกังวลจากปัจจัยเรื่องมาบตาพุดแต่อย่างใด ส่วนแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 2010-2014) ยังอยู่ระหว่างการจัดทำ คาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในเดือนมกราคม 2553
นายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ PTT กล่าวว่า ขณะนี้แผนควบรวมกิจการโรงกลั่นในเครือ 4 แห่ง ยังคงต้องรอความชัดเจนกรณีมาบตาพุด ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เสร็จและได้ข้อสรุปภายในปีนี้ เพราะถึงแม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งในการพิจารณาคดีมาบตาพุดแล้ว บริษัทก็ต้องนำมาประเมินผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละบริษัทในเครือที่จะควบรวมกิจการกัน กว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและดำเนินการตามขั้นตอนทางการเงินก็น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 เดือน