ครม.เห็นชอบแนวทางเปิดประมูลขายกิจการ “อีลิทการ์ด” เพื่อให้เอกชนนำไปดำเนินการแทน พร้อมมอบ “คลัง-สภาพัฒน์” จัดทำร่างเงื่อนไขเปิดประมูลภายใน 1 เดือน และให้ดำเนินการเปิดประมูลให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน หากพ้นกำหนดเวลา 3 เดือนยังไม่สามารถขายกิจการให้กับเอกชนได้ ก็ให้ยุบทิ้งแล้วโอนสมาชิกไปให้ ททท.ดูแล พร้อมสั่งสอบสมาชิกที่เหลือ 2,570 ราย เพราะพบว่า 795 รายที่มีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศไทย ไม่ตรงตามเงื่อนไขของการเป็นสมาชิก
มีรายงานข่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ร่วมกันจัดทำร่างเงื่อนไขเปิดประมูลขายกิจการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ การ์ด จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการอีลิทการ์ด เพื่อให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน และให้ดำเนินการเปิดประมูลให้แล้วเสร็จภายในเวลา 2 เดือน
โดยที่ประชุมฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินกิจการของโครงการอีลิทการ์ดเป็นไปในลักษณะของการเล่นแชร์ที่นำเงินของสมาชิกมาหมุนเวียนซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งพบว่า เสียงส่วนใหญ่ ต้องการให้ยกเลิกหรือยุบอยู่แล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่าขณะนี้มีเอกชนให้ความสนใจเข้ามาซื้อกิจการของบริษัทฯ พร้อมรับภาระเรื่องหนี้สิน แต่มีเงื่อนไขให้รัฐบาลผ่อนปรนเรื่องขั้นตอนการขอหนังสือเดินทางเข้าประเทศ (วีซ่า) ของสมาชิก
อย่างไรก็ตาม หากพ้นกำหนดเวลา 3 เดือนยังไม่สามารถขายกิจการให้กับเอกชนได้ รัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว คือ การยุบกิจการแล้วโอนสมาชิกที่มีอยู่ไปให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดูแลต่อ แต่จะไม่มีการรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังมอบหมายให้กระทรวงการคลัง และ ททท.ร่วมกันพิจารณาถึงความถูกต้องเรื่องสถานภาพของสมาชิกที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2,570 ราย เนื่องจากเห็นว่าในจำนวนดังกล่าวมีสมาชิก 795 รายที่มีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไม่ตรงตามเงื่อนไขของการเป็นสมาชิก
สำหรับโครงการบัตรอีลิท การ์ด เกิดขึ้นในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีเป้าหมายจะขายบัตรสมาชิกบัตรละ 1 ล้านบาท ให้ได้จำนวน 1 ล้านใบ เท่ากับทำรายได้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสมาชิกจะมีสิทธิพิเศษในการใช้บริการอำนวยความสะดวกต่างๆ ฟรี ตลอดชีวิต ระหว่างมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เมื่อดำเนินโครงการจริง กลับมีปัญหาในการขายสมาชิกเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มั่นใจว่าเมื่อจ่ายเงิน 1 ล้านบาทจะได้ใช้บริการต่างๆ ฟรีจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการเจรจากับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการ ทำให้สมาชิกที่สมัครเข้ามาแล้ว ไม่ไ่ด้รับความสะดวกในการใช้บริการเท่าที่ควร
