แอตต้า เตรียมอัดแคมเปญกระตุ้นตรงถึงตัวนักท่องเที่ยวเอง หวังให้ทันไฮซีซันปีนี้ เหตุพบบริษัททัวร์ในต่างชาติ เมินเชียร์ประเทศไทย หลังไม่มั่นใจการเมือง แนะรัฐบาลเร่งจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เจาะตลาดมุสลิม ที่ยังโตต่อเนื่องปีละกว่า 20% ยันภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปีลดกว่า 20% ไม่แตะ 14 ล้านคนชัวร์ ด้านเทศกาลลอยกระทงปีนี้ ส่อแววกร่อย คาดเงินสะพัดแค่ 9.3 พันล้าน โตต่ำสุดในรอบ 3 ปี เหตุเศรษฐกิจแย่ ของแพง
นายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า สมาคมได้หารือกับสมาชิกเพื่อเตรียมจัดแคมเปญพิเศษนำเสนอขายแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงไฮซีซันปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายนำเสนอโปรแกรมทัวร์กว่า 80 เส้นทาง หลากหลายเดสติเนชันทั่วประเทศไทย ส่งตรงถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย เน้นที่เป็นฐานลูกค้าเก่า ในตลาดตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย รัสเซีย และกลุ่มประเทศ CIS เป็นหลัก เพื่อจะได้ทันกับฤดูท่องเที่ยวปีนี้
ทั้งนี้ เพราะจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทย ที่มีมาต่อเนื่องตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรกับแอตต้า ไม่สนใจที่จะนำเสนอขายโปรแกรมท่องเที่ยวประเทศไทยให้แก่ลูกค้า ประกอบกับการแข่งขันในตลาดโลกเพื่อแย่งชิงนักท่องเที่ยวมีความรุนแรงขึ้น ทำให้บริษัทนำเที่ยวเลือกที่จะนำเสนอสินค้าโปรแกรมการเดินทางให้แก่ประเทศที่มีความพร้อม และนำเสนอเงื่อนไขทางการตลาดที่ดีกว่าประเทศไทย
นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดจะคัดเลือกสมาชิกแอตต้าเข้าไปเป็นสมาชิกของ สมาคม UFTTA หรือ ยูไนเต็ด เฟเดเรชั่น ออฟ ทราเวล เอเจน แอสโซซิเอชั่น อยู่ประเทศโมนาโก ซึ่งกลุ่มประเทศยุโรปให้ความเชื่อถือในการเลือกใช้บริการด้านการท่องเที่ยว จากปัจจุบันเราเป็นสมาชิกในนามสมาคมแอตต้าเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ คงต้องขอเวลาศึกษารายละเอียดด้านประโยชน์ของการถือบัตรสมาชิกดังกล่าวนี้ด้วยว่าเป็นเช่นใด เบื้องต้นเข้าใจว่า ผู้เป็นสมาชิกจะได้รับความเชื่อมั่น ในคุณภาพสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ดังนั้นหากผู้ใดเป็นสมาชิกบัตรนี้จะทำให้คู่ค้าเกิดความมั่นใจด้วย ซึ่งจะช่วยให้การเจรจาทางธุรกิจกันง่ายขึ้น
นายสุรพล กล่าวว่า สาเหตุที่แอตต้าต้องเร่งทำตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้อย่างหนัก ทั้งที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) แล้วก็ตาม เป็นเพราะอัตราการจองล่วงหน้าของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทยผ่านสมาชิกของแอตต้ายังมีจำนวนไม่มากนัก โดยประมาณว่า ช่วง 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองการเดินทางผ่านสมาชิกแอตต้า มีประมาณ 3.7 แสนคน คิดเป็น 80% ของปี 2550 ที่ทำได้ไว้ในจำนวน 4.7 แสนคน โดยตลาดที่ลดลงมากสุด ได้แก่ เกาหลี ลด 56.5%, ญี่ปุ่น ลด 38.4%, อังกฤษ ลด 38.5% และ จีน ลด 36.18% เป็นต้น ส่วนตลาดที่เติบโตยังคงอยู่ในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้นกว่า 5.6% หรือมีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 4.4 หมื่นคน และอินเดีย เพิ่มขึ้น 8.02% หรือมีนักท่องเที่ยวกว่า 1.09 แสนคน เป็นต้น
ขณะที่ภาพรวมทั้งปี เฉพาะที่ด่านสนามบินสุวรรณภูมิ คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการผ่านแอตต้าในปีนี้มีเพียง 1.5 ล้านคน ลดลงกว่าปี 2550 และ 2551 ไม่น้อยกว่า 20-30% ทำให้แอตต้ายิ่งมั่นใจว่า ภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ อย่างไรคงไม่เกิน 12 ล้านคน แน่นอน และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนักท่องเที่ยวถึง 14 ล้านคน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯตั้งเป้าไว้
ปัจจุบันเฉพาะที่ผ่านแอตต้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีจำนวนรวม 1.257 ล้านคน ลดลงกว่า 30% หรือกว่า 5.4 แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้แต่เดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซันแล้ว แต่ก็มาถูกกระทบจากการประท้วงและหยุดเดินรถไฟ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองโปรแกรมเที่ยวโดยรถไฟบอกยกเลิกการเดินทาง
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขดังกล่าวจะพบว่า ตลาดตะวันออกกลาง และตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดมุสลิมมีการเติบโตต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 20% จึงต้องการให้สมาชิกของแอตต้า และภาครัฐหันมาให้ความสนใจกับการทำตลาดนี้ให้มากขึ้น โดยแอตต้าเตรียมที่จะพาสมาชิกไปโรดโชว์ที่ประเทศอิหร่าน เพื่อเจาะตลาดดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีชาวต่างชาติที่เป็นมุสลิมเดินทางเข้ามาประเทศไทยปีละกว่า 2 ล้านคน ในที่นี้เป็นการเดินทางผ่านแอตต้าราว 5 แสนคน จากจำนวนชาวมุสลิมทั่วโลกที่มีกว่า 2 พันล้านคน และมีตัวเลขที่ต้องการมาไทยมากถึง 658 ล้านคน แต่เป็นเพราะไทยยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกให้เขา ทำให้เสียโอกาสให้แก่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน
**ลอยกระทงกร่อยเงินสะพัด 9.3 พันล.ต่ำสุดรอบ 3 ปี**
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงเทศกาลวันลอยกระทงปี 2552 ว่า การใช้จ่ายในงานลอยกระทงปีนี้จะไม่คึกคักนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด 9,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากปี 2551 ที่มีเม็ดเงินสะพัด 8,800 ล้านบาท แต่เป็นการเป็นเพิ่มแบบชะลอตัวและเติบโตต่ำสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งปี 2551 ขยายตัว 7.4% และปี 2550 ขยายตัว 6.8% เนื่องจากประชาชนยังกังวลถึงปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้าแพง ทำให้ไม่กล้าใช้จ่าย รวมทั้งงานลอยกระทงปีนี้ยังตรงกับวันทำงาน
ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจไตรมาส 4 มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน แต่กำลังซื้อภาคประชาชนยังไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นจริง เนื่องจากรายได้ การจ้างงานยังไม่เพิ่ม ประกอบกับราคาสินค้ายังทรงตัวระดับสูง ทำให้ประชาชนกังวลการใช้จ่าย โดยปีนี้คนน่าจะเข้าร่วมงานลอยกระทงเหมือนเดิม แต่การใช้จ่ายทำกิจกรรม ซื้อสินค้า กระทง เดินทาง ท่องเที่ยว คงไม่เพิ่มมาก ดังนั้น พ่อค้าแม่ค้าไม่ควรตุนสินค้า หรือนำสินค้าราคาสูงมาขาย เพราะจะขายได้ยาก และเม็ดเงินที่ใช้จ่ายเพิ่มส่วนมาก ยังมาจากตัวราคาสินค้าที่แพง ไม่ใช่มาจากความต้องการที่เพิ่ม
สำหรับการวางแผนไปลอยกระทงปีนี้มี 75.3% ต้องการไปร่วมกิจกรรม เพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งร่วมการละเล่นงานประเพณี และคลายเครียด ส่วน 24.7% ที่ตัดสินใจไม่ไปเพราะกังวลปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งกลัวอันตราย และไม่มีอารมณ์ ส่วนสถานที่ลอยกระทง 91.7% เน้นลอยในจังหวัดตัวเอง ตามสถานที่ที่จัดงานรื่นเริง ละแวกบ้าน และสวนสาธารณะส่วนเดินทางไปลอยต่างจังหวัดมีเพียง 8.3% โดยจังหวัดยอดนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา และ ชลบุรี สำหรับคำอธิษฐานที่ขอมากสุด คือ ให้ในหลวงทรงหายจากพระอาการประชวร รองลงมาเป็นให้คนไทยสามัคคี ให้เศรษฐกิจดี ปัญหาการเมืองคลี่คลาย
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผลจากการที่เทศกาลลอยกระทงที่ไม่คึกคัก ส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจในภาคประชาชนยังไม่ฟื้นตัว โดยผลสำรวจยังระบุว่า มีประชาชน 52.7% เชื่อว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2552 จะไม่ฟื้นตัว มีเพียง 12.7% เท่านั้นที่เชื่อว่าฟื้นแล้ว และไม่แน่ใจอีก 34.6% ทำให้กำลังซื้อภาคประชาชนในไตรมาส 4 ยังซบเซา โดยส่วนใหญ่ระบุว่าจะใช้จ่ายปริมาณเท่าเดิม หรือลดลง เพราะมีรายได้ลด และสินค้าแพง แต่ที่เสียเงินเพิ่มมาจากราคาของที่เพิ่มขึ้น
นายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า สมาคมได้หารือกับสมาชิกเพื่อเตรียมจัดแคมเปญพิเศษนำเสนอขายแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงไฮซีซันปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายนำเสนอโปรแกรมทัวร์กว่า 80 เส้นทาง หลากหลายเดสติเนชันทั่วประเทศไทย ส่งตรงถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย เน้นที่เป็นฐานลูกค้าเก่า ในตลาดตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย รัสเซีย และกลุ่มประเทศ CIS เป็นหลัก เพื่อจะได้ทันกับฤดูท่องเที่ยวปีนี้
ทั้งนี้ เพราะจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทย ที่มีมาต่อเนื่องตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรกับแอตต้า ไม่สนใจที่จะนำเสนอขายโปรแกรมท่องเที่ยวประเทศไทยให้แก่ลูกค้า ประกอบกับการแข่งขันในตลาดโลกเพื่อแย่งชิงนักท่องเที่ยวมีความรุนแรงขึ้น ทำให้บริษัทนำเที่ยวเลือกที่จะนำเสนอสินค้าโปรแกรมการเดินทางให้แก่ประเทศที่มีความพร้อม และนำเสนอเงื่อนไขทางการตลาดที่ดีกว่าประเทศไทย
นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดจะคัดเลือกสมาชิกแอตต้าเข้าไปเป็นสมาชิกของ สมาคม UFTTA หรือ ยูไนเต็ด เฟเดเรชั่น ออฟ ทราเวล เอเจน แอสโซซิเอชั่น อยู่ประเทศโมนาโก ซึ่งกลุ่มประเทศยุโรปให้ความเชื่อถือในการเลือกใช้บริการด้านการท่องเที่ยว จากปัจจุบันเราเป็นสมาชิกในนามสมาคมแอตต้าเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ คงต้องขอเวลาศึกษารายละเอียดด้านประโยชน์ของการถือบัตรสมาชิกดังกล่าวนี้ด้วยว่าเป็นเช่นใด เบื้องต้นเข้าใจว่า ผู้เป็นสมาชิกจะได้รับความเชื่อมั่น ในคุณภาพสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ดังนั้นหากผู้ใดเป็นสมาชิกบัตรนี้จะทำให้คู่ค้าเกิดความมั่นใจด้วย ซึ่งจะช่วยให้การเจรจาทางธุรกิจกันง่ายขึ้น
นายสุรพล กล่าวว่า สาเหตุที่แอตต้าต้องเร่งทำตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้อย่างหนัก ทั้งที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) แล้วก็ตาม เป็นเพราะอัตราการจองล่วงหน้าของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทยผ่านสมาชิกของแอตต้ายังมีจำนวนไม่มากนัก โดยประมาณว่า ช่วง 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองการเดินทางผ่านสมาชิกแอตต้า มีประมาณ 3.7 แสนคน คิดเป็น 80% ของปี 2550 ที่ทำได้ไว้ในจำนวน 4.7 แสนคน โดยตลาดที่ลดลงมากสุด ได้แก่ เกาหลี ลด 56.5%, ญี่ปุ่น ลด 38.4%, อังกฤษ ลด 38.5% และ จีน ลด 36.18% เป็นต้น ส่วนตลาดที่เติบโตยังคงอยู่ในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้นกว่า 5.6% หรือมีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 4.4 หมื่นคน และอินเดีย เพิ่มขึ้น 8.02% หรือมีนักท่องเที่ยวกว่า 1.09 แสนคน เป็นต้น
ขณะที่ภาพรวมทั้งปี เฉพาะที่ด่านสนามบินสุวรรณภูมิ คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการผ่านแอตต้าในปีนี้มีเพียง 1.5 ล้านคน ลดลงกว่าปี 2550 และ 2551 ไม่น้อยกว่า 20-30% ทำให้แอตต้ายิ่งมั่นใจว่า ภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ อย่างไรคงไม่เกิน 12 ล้านคน แน่นอน และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนักท่องเที่ยวถึง 14 ล้านคน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯตั้งเป้าไว้
ปัจจุบันเฉพาะที่ผ่านแอตต้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีจำนวนรวม 1.257 ล้านคน ลดลงกว่า 30% หรือกว่า 5.4 แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้แต่เดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซันแล้ว แต่ก็มาถูกกระทบจากการประท้วงและหยุดเดินรถไฟ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองโปรแกรมเที่ยวโดยรถไฟบอกยกเลิกการเดินทาง
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขดังกล่าวจะพบว่า ตลาดตะวันออกกลาง และตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดมุสลิมมีการเติบโตต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 20% จึงต้องการให้สมาชิกของแอตต้า และภาครัฐหันมาให้ความสนใจกับการทำตลาดนี้ให้มากขึ้น โดยแอตต้าเตรียมที่จะพาสมาชิกไปโรดโชว์ที่ประเทศอิหร่าน เพื่อเจาะตลาดดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีชาวต่างชาติที่เป็นมุสลิมเดินทางเข้ามาประเทศไทยปีละกว่า 2 ล้านคน ในที่นี้เป็นการเดินทางผ่านแอตต้าราว 5 แสนคน จากจำนวนชาวมุสลิมทั่วโลกที่มีกว่า 2 พันล้านคน และมีตัวเลขที่ต้องการมาไทยมากถึง 658 ล้านคน แต่เป็นเพราะไทยยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกให้เขา ทำให้เสียโอกาสให้แก่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน
**ลอยกระทงกร่อยเงินสะพัด 9.3 พันล.ต่ำสุดรอบ 3 ปี**
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงเทศกาลวันลอยกระทงปี 2552 ว่า การใช้จ่ายในงานลอยกระทงปีนี้จะไม่คึกคักนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด 9,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากปี 2551 ที่มีเม็ดเงินสะพัด 8,800 ล้านบาท แต่เป็นการเป็นเพิ่มแบบชะลอตัวและเติบโตต่ำสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งปี 2551 ขยายตัว 7.4% และปี 2550 ขยายตัว 6.8% เนื่องจากประชาชนยังกังวลถึงปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้าแพง ทำให้ไม่กล้าใช้จ่าย รวมทั้งงานลอยกระทงปีนี้ยังตรงกับวันทำงาน
ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจไตรมาส 4 มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน แต่กำลังซื้อภาคประชาชนยังไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นจริง เนื่องจากรายได้ การจ้างงานยังไม่เพิ่ม ประกอบกับราคาสินค้ายังทรงตัวระดับสูง ทำให้ประชาชนกังวลการใช้จ่าย โดยปีนี้คนน่าจะเข้าร่วมงานลอยกระทงเหมือนเดิม แต่การใช้จ่ายทำกิจกรรม ซื้อสินค้า กระทง เดินทาง ท่องเที่ยว คงไม่เพิ่มมาก ดังนั้น พ่อค้าแม่ค้าไม่ควรตุนสินค้า หรือนำสินค้าราคาสูงมาขาย เพราะจะขายได้ยาก และเม็ดเงินที่ใช้จ่ายเพิ่มส่วนมาก ยังมาจากตัวราคาสินค้าที่แพง ไม่ใช่มาจากความต้องการที่เพิ่ม
สำหรับการวางแผนไปลอยกระทงปีนี้มี 75.3% ต้องการไปร่วมกิจกรรม เพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งร่วมการละเล่นงานประเพณี และคลายเครียด ส่วน 24.7% ที่ตัดสินใจไม่ไปเพราะกังวลปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งกลัวอันตราย และไม่มีอารมณ์ ส่วนสถานที่ลอยกระทง 91.7% เน้นลอยในจังหวัดตัวเอง ตามสถานที่ที่จัดงานรื่นเริง ละแวกบ้าน และสวนสาธารณะส่วนเดินทางไปลอยต่างจังหวัดมีเพียง 8.3% โดยจังหวัดยอดนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา และ ชลบุรี สำหรับคำอธิษฐานที่ขอมากสุด คือ ให้ในหลวงทรงหายจากพระอาการประชวร รองลงมาเป็นให้คนไทยสามัคคี ให้เศรษฐกิจดี ปัญหาการเมืองคลี่คลาย
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผลจากการที่เทศกาลลอยกระทงที่ไม่คึกคัก ส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจในภาคประชาชนยังไม่ฟื้นตัว โดยผลสำรวจยังระบุว่า มีประชาชน 52.7% เชื่อว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2552 จะไม่ฟื้นตัว มีเพียง 12.7% เท่านั้นที่เชื่อว่าฟื้นแล้ว และไม่แน่ใจอีก 34.6% ทำให้กำลังซื้อภาคประชาชนในไตรมาส 4 ยังซบเซา โดยส่วนใหญ่ระบุว่าจะใช้จ่ายปริมาณเท่าเดิม หรือลดลง เพราะมีรายได้ลด และสินค้าแพง แต่ที่เสียเงินเพิ่มมาจากราคาของที่เพิ่มขึ้น