"สุรินทร์ กฤตยาพงษ์พันธุ์" ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด บีอีซีเวิลด์ (BEC) ชี้แจง "ASTVผู้จัดการ" กรณีบอร์ด อสมท (MCOT) เสนอ 2 โมเดลจ่ายสัมปทานใหม่ของช่อง 3 ว่า "ยังไม่สรุปว่าจะเลือกโมลเดล 1 หรือ 2" ต้องรอผู้มีอำนาจหารืออีก 2 สัปดาห์ การให้สัมภาษณ์เมื่อวันก่อน เป็นแค่ "ความเห็นส่วนตัว" ...
"ความเห็นส่วนตัว" ก็คือข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 โมเดล มีดังนี้ "การจ่ายส่วนแบ่ง 6.5% ของรายได้มีข้อดีอายุสัญญาสัมปทาน 10 ปี (2553-63) ถือเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ธุรกิจฟรีทีวีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต คู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก การจ่ายส่วนแบ่งก็จะผันแปรตามพื้นฐานรายได้ที่แท้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อช่อง 3 ประกอบกับเป็นการเซ็นสัญญาภายใต้ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BEC จึงเป็นการคิดส่วนแบ่งจากรายได้ของบริษัทบางกอกฯ แต่รายได้ที่เกิดจากธุรกิจอื่น ไม่ว่า BEC หรือ บีอีซี-เทโรฯ ก็ไม่ต้องนำมาคิดส่วนแบ่งรายได้ ส่วนโมเดลที่ 2 "การจ่ายเงินส่วนแบ่งตายตัว 300-600 ล้านบาทต่อปี" ข้อดีต่อผู้รับค่าสัมปทาน (MCOT) จะได้รับเงินแน่นอนตายตัว ไม่ว่าธุรกิจของทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 จะดีหรือไม่ แต่หากธุรกิจทีวีสร้างรายได้สูงมากกว่าคาดก็จะเป็นผลดีต่อฝ่ายผู้จ่ายค่าสัมปทาน (ช่อง 3)...ชัดเจน...ทราบแล้วเปลี่ยน...
ไม่อยากเชื่อ! "ราเกซ สักเสนา" จะกลับมา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์คนนี้ โด่งดังเมื่อปี 2535-2540 ยุคแบงก์พาณิชย์และตลาดหุ้นเฟื่องฟู เศรษฐกิจบูมก่อนฟองสบู่แตก กลายเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 "บังเกซ" จากดินแดนภารตะ เข้ามาโกยเงินบาทจนกระเป๋าตุง แต่ด้วยความละโมภไม่ยอมกลับ ใช้อาชีพพ่อมดที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุน กลายเป็นจอมขมังเวทย์ ดังสุดขีดเมื่อไปเป็นที่ปรึกษา "เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์" กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ หรือ บีบีซี มรดกตกทอดมาจาก "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช"...
การยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากบีบีซีในรูปแบบสินเชื่อ ใช้ที่ดินราคาถูกไกลปืนเที่ยงย้อมแมวเป็นหลักทรัพย์สูงลิบ กู้เงินมหาศาลออกไป ไม่พอยังปล่อยสินเชื่อไปปั่นหุ้นก่อนเทกโอเวอร์บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นว่าเล่น ลำพัง "ราเกซ-เกริกเกียรติ" คงไม่ถึงทำให้แบงก์ล้ม แต่การสานประโยชน์กับเจ้าหน้าที่รัฐ กรมที่ดิน บิ๊กแบงก์ชาติ นักการเมืองกลุ่ม 16 และบิ๊กเตี้ยในฐานะผู้นำประเทศสยาม ณ เพลานั้น ด้วยขุมกำลังและผลประโยชน์มหึมา จึงเป็นคำตอบว่าผ่านไปกว่า 10 ปี เสี่ยราเกซ จึงยังลอยนวลอยู่ที่แคนาดาโน่น...
ก่อนหน้านี้แทบทุกปี มีข่าว "ราเกซ" ถูกส่งตัวกลับมาขังคุกเมืองไทย ล่าสุด 3 ทุ่ม คืนวันที่ 30 ต.ค.นี้ ลุ้นอีกทีว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะเช้าวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ตำรวจกองปราบปราม และแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ เดินทางไปแคนาดาแล้ว เพื่อรับตัว “ราเกซ” หลังศาลฎีกาในแคนาดา เตรียมตัดสินให้ส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทย ไม่เกิน 48 ชั่วโมงรู้ผล!!!...
ถ้า วัน ว. เวลา น.ข้างต้น ชายร่างท้วมวัย 57 ปรากฏตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิจริง กลุ่มเพื่อนราเกซอีกหลายชีวิตล้วนมีชีวิตอยู่ คงได้สะดุ้งโหยง โย่!
ย้อนหลังกันให้เห็นภาพ ฤดูฝนปี 2539 "วิจิตร สุพินิจ" ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติขณะนั้น ส่งหนังสือร้องทุกข์ถึง "พจน์ บุณยะจินดา" ให้ดำเนินคดี "ราเกซ" ข้อหาทำผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ "อธิบดีกรมตำรวจ" สั่งชุดปฏิบัติการพิเศษเดินทางไปต่างประเทศเพื่อติดตามจับกุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแคนาดา ได้ที่ร้านอาหารในเมืองแวนคูเวอร์ และถูกคุมขังในคุกเมืองแวนคูเวอร์ แต่ศาลแคนาดาเลื่อนตัดสินคดีส่งตัวให้ทางการไทยมากกว่า 2 ครั้ง ขณะที่ปี 2540 ใกล้เคียงกับการได้ตัวอีกครั้ง สุดท้ายก็วืด ท่ามกลางข่าว "ราเกซ" จ่ายสินบนให้ตำรวจไทย แพร่สะพัดแคนาดา!!!
ตำรวจและนักการเมือง "คอร์รัปชัน" จึงเป็นอุปสรรคในการส่งตัวบิ๊กเสี่ย "ราเกซ" ตลอดมา ทุกครั้งจึงเป็นแค่ลมพัดผ่าน...
"ความเห็นส่วนตัว" ก็คือข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 โมเดล มีดังนี้ "การจ่ายส่วนแบ่ง 6.5% ของรายได้มีข้อดีอายุสัญญาสัมปทาน 10 ปี (2553-63) ถือเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ธุรกิจฟรีทีวีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต คู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก การจ่ายส่วนแบ่งก็จะผันแปรตามพื้นฐานรายได้ที่แท้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อช่อง 3 ประกอบกับเป็นการเซ็นสัญญาภายใต้ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BEC จึงเป็นการคิดส่วนแบ่งจากรายได้ของบริษัทบางกอกฯ แต่รายได้ที่เกิดจากธุรกิจอื่น ไม่ว่า BEC หรือ บีอีซี-เทโรฯ ก็ไม่ต้องนำมาคิดส่วนแบ่งรายได้ ส่วนโมเดลที่ 2 "การจ่ายเงินส่วนแบ่งตายตัว 300-600 ล้านบาทต่อปี" ข้อดีต่อผู้รับค่าสัมปทาน (MCOT) จะได้รับเงินแน่นอนตายตัว ไม่ว่าธุรกิจของทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 จะดีหรือไม่ แต่หากธุรกิจทีวีสร้างรายได้สูงมากกว่าคาดก็จะเป็นผลดีต่อฝ่ายผู้จ่ายค่าสัมปทาน (ช่อง 3)...ชัดเจน...ทราบแล้วเปลี่ยน...
ไม่อยากเชื่อ! "ราเกซ สักเสนา" จะกลับมา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์คนนี้ โด่งดังเมื่อปี 2535-2540 ยุคแบงก์พาณิชย์และตลาดหุ้นเฟื่องฟู เศรษฐกิจบูมก่อนฟองสบู่แตก กลายเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 "บังเกซ" จากดินแดนภารตะ เข้ามาโกยเงินบาทจนกระเป๋าตุง แต่ด้วยความละโมภไม่ยอมกลับ ใช้อาชีพพ่อมดที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุน กลายเป็นจอมขมังเวทย์ ดังสุดขีดเมื่อไปเป็นที่ปรึกษา "เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์" กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ หรือ บีบีซี มรดกตกทอดมาจาก "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช"...
การยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากบีบีซีในรูปแบบสินเชื่อ ใช้ที่ดินราคาถูกไกลปืนเที่ยงย้อมแมวเป็นหลักทรัพย์สูงลิบ กู้เงินมหาศาลออกไป ไม่พอยังปล่อยสินเชื่อไปปั่นหุ้นก่อนเทกโอเวอร์บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นว่าเล่น ลำพัง "ราเกซ-เกริกเกียรติ" คงไม่ถึงทำให้แบงก์ล้ม แต่การสานประโยชน์กับเจ้าหน้าที่รัฐ กรมที่ดิน บิ๊กแบงก์ชาติ นักการเมืองกลุ่ม 16 และบิ๊กเตี้ยในฐานะผู้นำประเทศสยาม ณ เพลานั้น ด้วยขุมกำลังและผลประโยชน์มหึมา จึงเป็นคำตอบว่าผ่านไปกว่า 10 ปี เสี่ยราเกซ จึงยังลอยนวลอยู่ที่แคนาดาโน่น...
ก่อนหน้านี้แทบทุกปี มีข่าว "ราเกซ" ถูกส่งตัวกลับมาขังคุกเมืองไทย ล่าสุด 3 ทุ่ม คืนวันที่ 30 ต.ค.นี้ ลุ้นอีกทีว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะเช้าวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ตำรวจกองปราบปราม และแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ เดินทางไปแคนาดาแล้ว เพื่อรับตัว “ราเกซ” หลังศาลฎีกาในแคนาดา เตรียมตัดสินให้ส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทย ไม่เกิน 48 ชั่วโมงรู้ผล!!!...
ถ้า วัน ว. เวลา น.ข้างต้น ชายร่างท้วมวัย 57 ปรากฏตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิจริง กลุ่มเพื่อนราเกซอีกหลายชีวิตล้วนมีชีวิตอยู่ คงได้สะดุ้งโหยง โย่!
ย้อนหลังกันให้เห็นภาพ ฤดูฝนปี 2539 "วิจิตร สุพินิจ" ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติขณะนั้น ส่งหนังสือร้องทุกข์ถึง "พจน์ บุณยะจินดา" ให้ดำเนินคดี "ราเกซ" ข้อหาทำผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ "อธิบดีกรมตำรวจ" สั่งชุดปฏิบัติการพิเศษเดินทางไปต่างประเทศเพื่อติดตามจับกุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแคนาดา ได้ที่ร้านอาหารในเมืองแวนคูเวอร์ และถูกคุมขังในคุกเมืองแวนคูเวอร์ แต่ศาลแคนาดาเลื่อนตัดสินคดีส่งตัวให้ทางการไทยมากกว่า 2 ครั้ง ขณะที่ปี 2540 ใกล้เคียงกับการได้ตัวอีกครั้ง สุดท้ายก็วืด ท่ามกลางข่าว "ราเกซ" จ่ายสินบนให้ตำรวจไทย แพร่สะพัดแคนาดา!!!
ตำรวจและนักการเมือง "คอร์รัปชัน" จึงเป็นอุปสรรคในการส่งตัวบิ๊กเสี่ย "ราเกซ" ตลอดมา ทุกครั้งจึงเป็นแค่ลมพัดผ่าน...
