“สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เผย ปฏิญญาชะอำ-หัวหิน มุ่งสู่ความชัดเจนของประชาคมอาเซียนในปี 2558 พร้อมหนุนให้ภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยบรรลุข้อตกลงความร่วมมือหลักใน 3 ด้าน ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการรวมตลาดด้านสินค้า บริการ การลงทุน ตลาดทุน และแรงงาน นักเศรษฐศาสตร์ เชื่อ อาเซียนบรรลุเป้าหมายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ “กรุงเทพโพลล์” เผยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ 17 องค์กร เชื่อมั่นอาเซียนบรรลุเป้าหมายประชาคม ศก.อาเซียนได้
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวในการเปิดงาน ASEAN BUSINESS FORUM 2009 วันนี้ โดยระบุว่า เมื่อการประชุมสุดยอดอาเซียนในลงนามปฏิญญาชะอำ-หัวหิน ที่ว่าด้วยแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน ในปี 2558 โดยเน้นความร่วมมือ 3 ด้านหลัก คือ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ที่สำคัญคือการมุ่งสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อเป็นการรวมตลาดด้านสินค้า บริการ การลงทุน ตลาดทุน และแรงงาน
ทั้งนี้ เมื่ออาเซียนรวมตัวอย่างเหนียวแน่น จะได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่จะทำให้เศรษฐกิจอาเซียนเติบโตไปด้วย ดังนั้น ภาคเอกชนจึงเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนการนำไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแนวคิด การพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพสินค้า เพราะต่อไปจะมีความหลากหลายมากขึ้น จากผลของ 6 ประเทศอาเซียนที่ลดภาษีเป็น 0 ในวันที่ 1 มกราคม 2553
ที่สำคัญ ขณะนี้กำลังมีข้อเสนอตั้งสภาเอสเอ็มอี เพื่อให้มีส่วนในการสนับสนุนเอสเอ็มอี ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา เพราะเอสเอ็มอีจะต้องมีการพัฒนาไปสู่การแข่งขันด้านต่างๆ เนื่องจากอาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจ 580 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีคนระดับกลางที่มีกำลังซื้อสูง 52 ล้านคน เมื่อรวมตัวกันได้มากขึ้น จะสามารถแข่งขันกับภูมิภาคต่างๆ ได้
ด้าน นายอรินทร์ จิรา ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน กล่าวว่า การลดภาษี หรือความร่วมมือระหว่างอาเซียน อย่ามองเพียงไทยจะได้รับผลกระทบในทางลบอย่างไรบ้าง เพราะการรวมตัวกันครั้งนี้ ยังมีผลในเชิงบวกอีกมาก และจะช่วยทำให้ประเทศในอาเซียนสามารถพัฒนาร่วมกันทั้งการไหลเวียนของแรงงาน ทั้งระดับปฏิบัติงานและแรงงานคุณภาพ ทั้งวิศวกร และแพทย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ตัวจักรที่สำคัญเพื่อการทำให้ก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้สมบูรณ์ ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกประเทศได้รับทราบแนวทางดังกล่าว เช่น การติดป้ายโปสเตอร์ในสถานีขนส่งในทุกประเทศ เพื่อให้เกิดความซึมซับในภารกิจนี้มากขึ้น
ด้านศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จาก 17 องค์กรชั้นนำของไทย เรื่อง “โอกาสและความพร้อมของประเทศไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 75.0 เชื่อว่า กองทุนริเริ่มเชียงใหม่จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ ร้อยละ 69.7 เชื่อว่า อาเซียนจะบรรลุการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้จริง ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าของไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น พร้อมแนะให้รัฐบาลเตรียมใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายสินค้าและการเคลื่อนย้ายการลงทุนที่จะเกิดขึ้นให้คุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ยังติงการเปิดเสรีสินค้าของไทยในปีหน้า (เฉพาะอาเซียน-6) ที่ไทยยังมีความพร้อมไม่เต็มที่โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนการขนส่งของไทยที่อยู่ในระดับสูง และยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้นกับภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า อาเซียนจะบรรลุการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะก้าวไปสู่จุดที่เหมือนกับสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากประเทศสมาชิกมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม และที่สำคัญคือ การขาดความจริงใจต่อกันในอันที่จะพัฒนาอาเซียนเพื่อนำความกินดีอยู่ดีมาสู่ประชาชนอาเซียน
สำหรับความเห็นต่อประเด็นการบรรลุเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พิจารณาในแง่ “การเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วม” โดย ร้อยละ 16.1 เห็นว่า จะบรรลุการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ภายในปี 2558 ร้อยละ 69.7 เห็นว่า บรรลุ แต่ล่าช้ากว่าปี 2558
ส่วนความเห็นต่อประเด็น การรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย (ในภาพรวม) ร้อยละ 66.1 เห็นว่า จะช่วยให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.2 เห็นว่า จะไม่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลง ร้อยละ 7.1 เห็นว่า จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงกว่าเดิม
ส่วนความเห็นต่อประเด็น ประชาคมอาเซียนจะสามารถก้าวไปถึงจุดที่เหมือนกับสหภาพยุโรป หรือ EU ได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 14.3 เชื่อว่า ได้ ร้อยละ 69.6 เชื่อว่า ไม่ได้ เนื่องจาก ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก และความคิดเห็นต่อประเด็น ความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดเสรีสินค้าของไทยในปี 2553 (เฉพาะอาเซียน-6) ร้อยละ 17.9 เห็นว่า มีความพร้อมมาก ร้อยละ 46.4 เห็นว่า มีความพร้อมปานกลาง โดยต้องปรับปรุงเรื่อง ข้อจำกัดต่างๆ ที่ยังคงบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
ส่วนข้อเสนอต่อรัฐบาลในประเด็นเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 3 อันดับแรก ได้แก่อันดับที่ 1 เสนอให้ รัฐบาลควรมีการศึกษาความได้เปรียบและความเสียเปรียบให้รอบคอบครบถ้วน ศึกษาความพร้อมของภาคธุรกิจ รวมทั้งหามาตรการรองรับเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง อันดับที่ 2 เสนอให้ รัฐบาลมีการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเปิดเสรีการค้าในภูมิภาคอาเซียนได้รับทราบและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการเตรียมความพร้อมและรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอันดับที่ 3 เสนอให้ อาเซียนมีความสมัครสมานสามัคคีกันมากขึ้นเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมที่เข้มแข็ง และประเทศในภูมิภาคอาเซียนควรหันมาค้าขายระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งการค้าขายดังกล่าวไม่จำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ