ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ แนะ กทช.ทำรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เข้าร่วมประมูลเครือข่ายให้ชัดเจนก่อนเปิดประมูลโครงการโทรศัพท์ระบบ 3 จี ยืนยันเป้าหมายคือประชาชนต้องได้รับการบริการที่ดีขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า ที่ประชุมได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินโครงการโทรศัพท์ระบบ 3 จี ต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) โดยระบุว่า หากจะมีการประมูลระบบนี้ ควรกำหนดกติกาเกี่ยวกับผู้เข้าร่วมประมูลและเครือข่ายที่จะใช้ให้ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ ยังให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายกิจการโทรคมนาคม โดยผู้ประกอบการที่จะขออนุญาตจะต้องเป็นนิติบุคคลไทย ซึ่งต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนเช่นกัน ซึ่ง กทช.ได้รับข้อสังเกตเหล่านี้และจะทำให้เกิดความชัดเจน และนำกลับมาหารืออีกครั้ง รวมทั้งมอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) สรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประมูลระบบนี้ เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้พิจารณาแนวทางแก้ไขต่อไป
“เราต้องการให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดีขึ้น แต่ค่าตอบแทนที่จะให้กับรัฐในเรื่องใบอนุญาตต้องเป็นธรรม และกติกาการแข่งขันจะต้องดี ซึ่ง กทช.จะต้องดูแล แต่เรื่องนี้มีความซับซ้อน เพราะบริษัทที่จะเข้ามาประมูลอาจเป็นบริษัทที่รับสัมปทาน และไม่ได้ประกอบกิจการ 3 จีในขณะนี้ แต่อาจจะถ่ายโอนลูกค้าและมาใช้ทรัพย์สินร่วมกัน วันนี้ถือว่าระบบ 3 จี เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เพราะประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ใช้กันหมดแล้ว ของไทยล่าช้ามานานแล้ว แต่กติกาจะต้องเป็นธรรมและโปร่งใส” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้มี กทช.เพียง 3 คน สามารถทำงานได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ก้าวล่วงในเรื่องนี้ แต่ได้ให้ข้อสังเกตไปแล้วว่าระวังจะพันกัน เพราะการที่หน่วยงานของรัฐกำลังตัดสินใจที่จะลงทุนในขณะที่มีความไม่ชัดเจนในเรื่องผลกระทบต่อการดำเนินการในการเปิดประมูล ทำให้รัฐบาลอยู่ในฐานะลำบากที่จะเดินหน้าหรือตัดสินใจอะไร ดังนั้น จึงต้องการให้ทุกอย่างเดินหน้าและโปร่งใส อย่างไรก็ตาม อยู่ที่ กทช.จะวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของตัวเอง และหากมีการโต้แย้ง ต้องเป็นเรื่องที่มีองค์กรวินิจฉัย
เมื่อถามว่า โครงการดังกล่าวจะผลักภาระให้ประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องราคานั้นได้รับการยืนยันว่าจะใช้กลไกการแข่งขันในการกำหนดราคา ซึ่งต้องเป็นราคาที่เป็นธรรมกับประชาชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า ที่ประชุมได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินโครงการโทรศัพท์ระบบ 3 จี ต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) โดยระบุว่า หากจะมีการประมูลระบบนี้ ควรกำหนดกติกาเกี่ยวกับผู้เข้าร่วมประมูลและเครือข่ายที่จะใช้ให้ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ ยังให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายกิจการโทรคมนาคม โดยผู้ประกอบการที่จะขออนุญาตจะต้องเป็นนิติบุคคลไทย ซึ่งต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนเช่นกัน ซึ่ง กทช.ได้รับข้อสังเกตเหล่านี้และจะทำให้เกิดความชัดเจน และนำกลับมาหารืออีกครั้ง รวมทั้งมอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) สรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประมูลระบบนี้ เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้พิจารณาแนวทางแก้ไขต่อไป
“เราต้องการให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดีขึ้น แต่ค่าตอบแทนที่จะให้กับรัฐในเรื่องใบอนุญาตต้องเป็นธรรม และกติกาการแข่งขันจะต้องดี ซึ่ง กทช.จะต้องดูแล แต่เรื่องนี้มีความซับซ้อน เพราะบริษัทที่จะเข้ามาประมูลอาจเป็นบริษัทที่รับสัมปทาน และไม่ได้ประกอบกิจการ 3 จีในขณะนี้ แต่อาจจะถ่ายโอนลูกค้าและมาใช้ทรัพย์สินร่วมกัน วันนี้ถือว่าระบบ 3 จี เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เพราะประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ใช้กันหมดแล้ว ของไทยล่าช้ามานานแล้ว แต่กติกาจะต้องเป็นธรรมและโปร่งใส” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้มี กทช.เพียง 3 คน สามารถทำงานได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ก้าวล่วงในเรื่องนี้ แต่ได้ให้ข้อสังเกตไปแล้วว่าระวังจะพันกัน เพราะการที่หน่วยงานของรัฐกำลังตัดสินใจที่จะลงทุนในขณะที่มีความไม่ชัดเจนในเรื่องผลกระทบต่อการดำเนินการในการเปิดประมูล ทำให้รัฐบาลอยู่ในฐานะลำบากที่จะเดินหน้าหรือตัดสินใจอะไร ดังนั้น จึงต้องการให้ทุกอย่างเดินหน้าและโปร่งใส อย่างไรก็ตาม อยู่ที่ กทช.จะวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของตัวเอง และหากมีการโต้แย้ง ต้องเป็นเรื่องที่มีองค์กรวินิจฉัย
เมื่อถามว่า โครงการดังกล่าวจะผลักภาระให้ประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องราคานั้นได้รับการยืนยันว่าจะใช้กลไกการแข่งขันในการกำหนดราคา ซึ่งต้องเป็นราคาที่เป็นธรรมกับประชาชน