“อลงกรณ์” ยิงวิดีโอลิงก์แถลงภารกิจนายกฯ โรดโชว์สหรัฐฯ พบภาคธุรกิจเอกชน-นักลงทุน มั่นใจปีหน้า สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอีก 10% พร้อมตอบข้อซักถามประเด็น การแก้ไข รธน.ซึ่งนักธุรกิจสหรัฐฯ ต้องการความชัดเจน
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวให้สัมภาษณ์ผ่านระบบวิดีโอลิงก์จากสหรัฐอเมริกาถึงภารกิจของนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และยืนยันว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เห็นได้จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังให้ความเชื่อมั่นว่า สถานการณ์ทางด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทย-สหรัฐฯ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทผู้นำเข้าของสหรัฐฯ มีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย โดยในปีหน้ามีโอกาสจะนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นอีก 10%
“นายกฯ ได้กล่าวปราศรัย โดยบอกว่าประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดของวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ดัชนี้ชี้วัดทางเศรษฐกิจเกือบทุกตัวเพิ่มขึ้นหมด และเชื่อว่า สถานการณ์ขาขึ้นอย่างนี้จะทำให้การค้าไทย-สหรัฐฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งสหรัฐฯ ก็มีความเชื่อมั่นที่จะนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอีก 10%”
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมีโอกาสพบปะกับผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์ และผู้ลงทุนของสหรัฐฯ รายใหม่ที่สนใจมาลงทุนในไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงให้ทราบถึงโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีส่วนช่วยให้นักลงทุนสามารถทราบถึงทิศทางการลงทุนได้ตามแผนงานดังกล่าว
โดยนายกรัฐมนตรีระบุถึงการลงทุนระยะยาวในด้านต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข โลจิสติกส์ การชลประทาน การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งถือว่าได้รับความสนใจจากนักธุรกิจของสหรัฐฯ เป็นอย่างดี
ด้านนักธุรกิจสหรัฐฯ ยังสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าหลังเดินทางกลับจากสหรัฐฯ แล้วจะขอหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
นายอลงกรณ์ กล่าวเสริมว่า การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จที่น่าพอใจ เนื่องจากนักลงทุนสหรัฐฯ มองว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ รวมถึงเชื่อมั่นต่อแนวทางการบริหารธุรกิจที่จะเห็นได้ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยเร็วกว่าที่คิดไว้ ซึ่งทำให้นักลงทุนและประเทศคู่ค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น