xs
xsm
sm
md
lg

จีดีพี Q2/52 ยังติดลบ 4.9% สศช.ชี้แนวโน้มฟื้นตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สภาพัฒน์แถลงจีดีพีไตรมาสสองติดลบ 4.9% เป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้ส่งออก-ท่องเที่ยวหดตัว แต่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนวโน้มดีขึ้นทั้งการลงทุนและบริโภค

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แถลงว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ยังติดลบร้อยละ 4.9 ดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรกที่จีดีพีติดลบร้อยละ 7.1 เมื่อรวม 6 เดือนแรกปี 2552 จีดีพีติดลบร้อยละ 6.0

อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายไตรมาส การใช้จ่ายภาคครัวเรือนมีสัญญาณดี คือ เดือน มิ.ย.ซึ่งการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคดีขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้กำลังซื้อของประชาชนดีขึ้น การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 5.9 และร้อยละ 9.6 ตามลำดับจากที่เคยขยายตัวร้อยละ 3.6 และติดลบร้อยละ 9.1 ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณและงบกลางปีเพิ่มเติม ทำให้มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้น

ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ 8.4 จากที่เคยติดลบร้อยละ 14.4 ไตรมาสแรก ด้านการนำเข้าเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ปริมาณนำเข้าหดตัวร้อยละ 27.5 จากที่เคยติดลบร้อยละ 35 ในไตรมาสแรก เนื่องจากภาคเอกชนมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจ จึงมีการนำเข้าสินค้าต่างๆ มาผลิตสินค้าตามความต้องการสั่งซื้อของตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเหล็กนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ในเดือน มิ.ย. ทำให้ภาพรวมการขยายตัวภาคอุตสาหกรรมเริ่มดีขึ้น

**การเมืองปัญหาฉุด ศก.

เลขาธิการ สศช.กล่าวถึงปัจจัยลบที่ยังกระทบเศรษฐกิจไทย ว่า คือ ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองที่ยังมีต่อเนื่องจนทำให้ภาคการลงทุนของภาคเอกชนยังไม่กระเตื้องมากนัก โดยยังติดลบร้อยละ 16.1 การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กระทบต่อผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวลดลง ส่งผลต่อภาคการโรงแรมและภัตตาคาร หดตัวร้อยละ 5.6 จากที่หดตัวร้อยละ 6.0 ในไตรมาสแรก นอกจากนี้ ยังมีปัญหาราคาสินค้าและปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ทำให้รายได้เกษตรกรลดลง และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนฟื้นตัวช้า

“สิ่งที่ต้องระวัง คือ ผลกระทบเรื่องราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อไตรมาส 2 ยังติดลบร้อยละ 2.8 เทียบกับติดลบร้อยละ 0.3 ในไตรมาสแรก สำหรับอัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ 1.8 เริ่มปรับตัวดีขึ้น และเป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวลแล้ว เพราะตัวเลขว่างงานปกติของไทย จะอยู่ประมาณ 4-5 แสนคน ซึ่งตัวเลขการว่างงานเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนคน และปีนี้อัตราว่างงานไม่น่าจะเกิน 1 ล้านคน ทำให้สภาพัฒน์ประเมินว่า จีดีพีตลอดปีนี้จะอยู่ในกรอบเดิม คือ ติดลบไม่เกินร้อยละ 3.0-3.5

ขณะเดียวกัน สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการ คือ เร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ 2552 ให้ได้ร้อยละ 94 การเดินหน้าใช้จ่ายเงินจากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเตรียมไว้ในช่วงปีงบประมาณ 2553 ให้เงินออกสู่ระบบ การให้ธนาคารรัฐปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและรายย่อยที่ขาดสภาพคล่อง การใช้ระบบประกันราคาสินค้าเกษตร ไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาลและดูแลสินค้าเกษตรในช่วงปรับลดลง แต่ต้องไม่ให้เกิดการทุจริตโครงการดังกล่าว ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนต้องดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสม ไม่ให้อ่อนค่ามากเกินไปในช่วงราคาน้ำมันแพง แต่ไม่แข็งค่าจนกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันตลาดโลกเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ประมาณ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

**“มาร์ค” เชื่อจีดีพีปี 52 ติดลบ 3-4

วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานและมอบรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น (Prime Minister's Export Award) ประจำปี 2552 ว่า รัฐบาลมีมาตราการสนับสนุนการส่งออก คือสิ่งที่พยายามดูคือในการอำนวยเรื่องของสินเชื่อให้ได้อย่างต่อเนื่อง และยุทธศาสตร์ของการทำตลาด ก็เป็นเรื่องที่เราจะพยายามเปิดตลาดใหม่ และใช้สำนักงานผู้แทนการค้าให้เป็นประโยชน์ โดยประสานกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งตนจะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อผลักดันและเปิดตลาดขณะที่การดำเนินการในประเทศ รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ที่มีนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ให้เป็นรูปธรรม

“ไตรมาสที่ 4 รัฐบาลจะพยายามทำให้เป็นบวกในทุกด้านโดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย แต่ก็คงไม่พอที่จะไปเฉลี่ยทั้งปีให้เป็นบวกได้ เพียงแต่ว่าเท่าที่เราดูแนวโน้มขนาดนี้ ตัวเลขเดือนต่อเดือนในทุกด้านค่อนข้างจะดีขึ้น น่าจะทำให้ให้มีแรงเหวี่ยงด้วยต่อไป และหากมีโครงการไทยเข้มแข็ง ลงไปด้วย น่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาครวมได้ด้วย” นายกฯ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น