นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงการทำงานของรัฐบาลในช่วง6 เดือนที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ส.ค.ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ นายอภิสิทธิ์เองว่า ตนคิดว่าดีที่สุดก็คือลองนึกย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว ที่บ้านเมืองยุ่งเหยิงวุ่นวายพอสมควร ขณะเดียวกันเราก็กำลังตกใจกับเศรษฐกิจโลก เข้ามากระแทกเศรษฐกิจไทยแรง ตนเข้ามามี 2 สิ่งที่อยู่ในใจคนคือ อยากเห็นบ้านเมืองสงบ และอยากเห็นเศรษฐกิจสามารถที่จะฟื้นตัวได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องบ้านเมืองสงบนี้ 6 เดือนผ่านมาก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ แต่ในขณะนี้คงจะรู้สึกได้ว่าบ้านเมืองเรากลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ตนก็ไม่ได้ประมาทและติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่รู้ว่ายังมีปมความขัดแย้งต่างๆ อยู่ ก็จะเดินหน้าค่อยๆ คลี่คลายไป
สำหรับผลงานทางเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่ามีสัญญาณที่ดี โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับหลายๆ ฝ่าย ทั้งในส่วนของผู้แทนของ องค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในส่วนของการที่ ได้มีการประชุมร่วมกับทางกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และมาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตนคิดว่าเราเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดี คือนอกเหนือจากเศรษฐกิจโลกเองมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มแข็งเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ปรากฏว่าเรามาไล่ดูตัวเลขเศรษฐกิจ ที่เป็นตัวเลขรายเดือน สิ่งที่น่าดีใจคือพบว่าหลังจากที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจทึ่ติดลบมาตลอดตั้งแต่ปลายปี มาเดือนมิถุนายนตัวเลขต่างๆ ถ้าเทียบกับเดือนพฤษภาคมเริ่มเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดัชนีการบริโภค ดัชนีทางด้านการลงทุน เรื่องของการส่งออกเอง ถ้าเทียบเดือนต่อเดือนก็กลับมาเป็นบวก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่านอกจากนี้ในการสำรวจความเชื่อมั่นทั้งของผู้บริโภค ทั้งของธุรกิจ ก็มีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ฉะนั้นคิดว่าขณะนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งก็ดูจากทั้งเรื่องของ ตัวเลขการเติบโตต่างๆ การใช้กำลังการผลิต ซึ่งตรงนี้เป็นผลดีกับเรื่องของ การสร้างงานด้วย เพราะถ้าหากว่าเรามองเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไม่น่าที่จะตกต่ำไปมากกว่านี้ และเริ่มที่จะทรงตัวหรือเริ่มขยับตัวขึ้น ก็จะทำให้แรงกดดันในเรื่องของปัญหาการจ้างงานลดลงไป
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ยืนยันว่าสิ่งที่ผมได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจที่จะติดลบ 3 ไตรมาสแรก น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4 ขณะนี้การประมาณการของหน่วยงานต่างๆ ก็ยังเป็นไปตามแนวทางนี้ จริงอยู่ ในช่วงกลางสัปดาห์มีการบอกว่า ธปท.นั้นปรับลดตัวเลขเศรษฐกิจทั้งปีลง แต่ว่าท่านผู้ว่าการฯ ได้คุยกับผมว่า ปัจจัยที่ปรับลง เพราะว่าในไตรมาสแรกเศรษฐกิจติดลบมากกว่าที่ ธปท. เคยคาดการณ์ไว้ แต่ว่าถ้าดูตัวเลขในแง่ของเดือนมิถุนายนแล้วก็ยังมีความมั่นใจว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ลดลงโดยลำดับ และจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงโครงการสำคัญๆ ของรัฐบาล ที่ดำเนินการมา 4 เดือนแล้วคือโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการที่รัฐบาลจะใช้ในการรับมือกับเรื่องของปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงาน ซึ่งมีผู้สนใจเข้าโครงการประมาณ 4 แสนคน ซึ่งขณะนี้ได้จัดฝึกอบรมแล้วประมาณเกือบ 2 แสนคน แบ่งเป็นโครงการที่ประชาชนสนใจฝึกเกือบแสนคน อีก 8 หมื่นคนจะเป็นโครงการพิเศษ ที่หน่วยงานต่างๆ ต้องการคนที่จะเข้าทำงานเช่น การคืนครูให้นักเรียน ที่เราทำการฝึกอบรม และสร้างเจ้าหน้าที่ธุรการกระจายไปตามโรงเรียนต่าง ๆ หรือจะเป็นในเรื่องการสำรวจขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังจะต้องดำเนินการอยู่ เพื่อรองรับในเรื่องของนโยบายการประกันราคาหรือประกันรายได้ในเรื่องข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และนอกจากนั้นยังมีอีกเกือบ 2 หมื่นคน ที่เข้ามาในโครงการนี้ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนเองว่า ถ้าเข้ามารับการฝึกอบรมแล้ว ทางภาคเอกชนจะชะลอการเลิกจ้าง
ที่น่าสนใจคือเมื่อฝึกอบรมแล้ว 70 % จะไปรับจ้างหรือประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโครงการที่รัฐบาลดำเนินการน่าจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ในการที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องของการว่างงาน นอกจากนี้โครงการต้นกล้าอาชีพ ยังส่งเสริมให้คนที่ผ่านโครงการกลับไปทำวิสาหกิจชุมชน เช่นที่ระยอง ฝึกเรื่องของชำร่วย โคราชทำเรื่องซ่อมกระเป๋า กางเกงยีสต์ ที่ปทุมธานี มีเพ้นท์เสื้อยืด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามปัญหาในเรื่องของเศรษฐกิจก็ยังมีอยู่ และในหลายส่วนๆ ก็ยังต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น ในส่วนของภาคเกษตร ซึ่งรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงจากระบบการแทรกแซงราคาเดิม มาเป็นระบบที่เกษตรกรทุกคน จะได้ประโยชน์ คือตั้งแต่เดือนสิงหาคมในส่วนของข้าว ที่จะให้เกษตรกรนั้นมาขึ้นทะเบียน และทุกคนที่ขึ้นทะเบียนจะได้ประโยชน์จากโครงการในการแทรกแซงของภาครัฐ ในเรื่องของโครงการประกันราคา ซึ่งจะมีการทยอยอธิบายรายละเอียดในเรื่องนี้ต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ายังมีเกษตรกรบางกลุ่มที่เดือดร้อนคือชาวสวนลำไย ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ราคาลำไยไปได้ค่อนข้างดี แต่ปรากำว่าผลผลิตลำไยออกมาค่อนข้างเร็วและมาก ทำให้กระทบกับเรื่องการตลาด ซึ่ง ครม.ได้มีมติให้กระทรวงการคลังไปเร่งรัดเรื่องอำนวยสินเชื่อกับผู้ซื้อลำไย ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะไปช่วยพิจารณากรณีสหกรณ์ที่เคยมีปัญหาจากการแทรกแซงในอดีตเรื่องหนี้สิน จะมีวิธีดูแลผ่อนผันได้อย่างไรให้สามารถเข้าไปร่วมโครงการแทรกแซงเพื่อช่วยเหลื่อชาวสวนลำไย ซึ่งรัฐบาลจะติดตามอย่างใกล้ชิด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลังได้เชิญธนาคารรัฐต่างๆ มากำหนดเป้าหมาย การปล่อยสินเชื่อ เพราะตอนี้เศรษฐกิจเริ่มทรงตัว ตัวเลขต่างๆ เริ่มเป็นบวกมากขึ้น ความกังวลวิตกกังวลเรื่องหนี้เสียจะลดลง เพราะฉะนั้นการเร่งเป้าหมายตรงนี้ก็จะทำได้มากขึ้น
เรื่องที่สองคือเรื่องของค่าเงิน ซึ่งเราก็บ่นกันว่าแข็งจนทำให้กระทบการส่งออกหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าขณะนี้ 6เดือนผ่านไป การเกินดุลการค้ามันเยอะมาก เพราะส่งออกลด การนำเข้ามาก จึงเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินแข็ง ซึ่งตรงนี้ก็ได้มีการทำความเข้าใจกันพูดคุยกับทางกระทรวงการคลัง ธปท.แล้ว ว่า การบริหารจัดการในเรื่องของเงินโดยเฉพาะเรื่องของเงินกู้ต่าง ๆ จะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินไม่ให้แข็งขึ้น
เช่นขณะนี้กำลังไล่ดูครับว่าหลายโครงการซึ่งจะต้องกู้เงินต่างประเทศเข้ามา ก็เปลี่ยนกู้ในประเทศ เพราะมีเงินในประเทศอยู่เยอะ แล้วก็ค่อยไปแลก หรือว่าถ้ากู้ ต่างประเทศเข้ามาก็มาพักไว้ก่อน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการที่จะลดแรงกดดันต่อค่าเงิน
นายอภิสิทธิ์ สรุปว่าภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง เป็นไปในแนวทางที่รัฐบาลวางไว้ แต่จะบอกว่าพอใจคงไม่ได้ ตนจะไม่พอใจจนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาบวก ตนจะไม่พอใจจนกว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะได้คำตอบสุดท้ายแล้ว ซึ่งยังไม่ได้ เราก็อยู่ในช่วงของการพิจารณารายงานของคณะกรรมการของสภาฯ มา
ก็ต้องบอกว่าแม้ว่ามีวิกฤต 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ 6 เดือนที่ผ่านมา เราก็ทำอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เช่น เรื่องของการเรียนฟรี เรื่องของการให้ขวัญกำลังใจ อสม. อย่างนี้เป็นต้น พูดกันมานานแต่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ทำแล้ว นอกจากนั้นที่สำคัญก็คือว่า การปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างของ เศรษฐกิจสังคมในระยะยาว ก็ไม่ได้มีการ พูดง่าย ๆ ว่าลืมไป ปฏิรูปการศึกษาก็เดิน ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทำเรื่องของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ Creative Economy ก็ทำ กำลังทำระบบสวัสดิการ ระบบการออม แก้ปัญหาเรื่องที่ทำกิน ด้วยการเอาระบบใหม่เข้ามา และก็ที่อยู่อาศัยที่เราไปลงพื้นที่กัน พวกนี้ก็เดินหมด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องบ้านเมืองสงบนี้ 6 เดือนผ่านมาก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ แต่ในขณะนี้คงจะรู้สึกได้ว่าบ้านเมืองเรากลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ตนก็ไม่ได้ประมาทและติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่รู้ว่ายังมีปมความขัดแย้งต่างๆ อยู่ ก็จะเดินหน้าค่อยๆ คลี่คลายไป
สำหรับผลงานทางเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่ามีสัญญาณที่ดี โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับหลายๆ ฝ่าย ทั้งในส่วนของผู้แทนของ องค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในส่วนของการที่ ได้มีการประชุมร่วมกับทางกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และมาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตนคิดว่าเราเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดี คือนอกเหนือจากเศรษฐกิจโลกเองมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มแข็งเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ปรากฏว่าเรามาไล่ดูตัวเลขเศรษฐกิจ ที่เป็นตัวเลขรายเดือน สิ่งที่น่าดีใจคือพบว่าหลังจากที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจทึ่ติดลบมาตลอดตั้งแต่ปลายปี มาเดือนมิถุนายนตัวเลขต่างๆ ถ้าเทียบกับเดือนพฤษภาคมเริ่มเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดัชนีการบริโภค ดัชนีทางด้านการลงทุน เรื่องของการส่งออกเอง ถ้าเทียบเดือนต่อเดือนก็กลับมาเป็นบวก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่านอกจากนี้ในการสำรวจความเชื่อมั่นทั้งของผู้บริโภค ทั้งของธุรกิจ ก็มีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ฉะนั้นคิดว่าขณะนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งก็ดูจากทั้งเรื่องของ ตัวเลขการเติบโตต่างๆ การใช้กำลังการผลิต ซึ่งตรงนี้เป็นผลดีกับเรื่องของ การสร้างงานด้วย เพราะถ้าหากว่าเรามองเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไม่น่าที่จะตกต่ำไปมากกว่านี้ และเริ่มที่จะทรงตัวหรือเริ่มขยับตัวขึ้น ก็จะทำให้แรงกดดันในเรื่องของปัญหาการจ้างงานลดลงไป
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ยืนยันว่าสิ่งที่ผมได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจที่จะติดลบ 3 ไตรมาสแรก น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4 ขณะนี้การประมาณการของหน่วยงานต่างๆ ก็ยังเป็นไปตามแนวทางนี้ จริงอยู่ ในช่วงกลางสัปดาห์มีการบอกว่า ธปท.นั้นปรับลดตัวเลขเศรษฐกิจทั้งปีลง แต่ว่าท่านผู้ว่าการฯ ได้คุยกับผมว่า ปัจจัยที่ปรับลง เพราะว่าในไตรมาสแรกเศรษฐกิจติดลบมากกว่าที่ ธปท. เคยคาดการณ์ไว้ แต่ว่าถ้าดูตัวเลขในแง่ของเดือนมิถุนายนแล้วก็ยังมีความมั่นใจว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ลดลงโดยลำดับ และจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงโครงการสำคัญๆ ของรัฐบาล ที่ดำเนินการมา 4 เดือนแล้วคือโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการที่รัฐบาลจะใช้ในการรับมือกับเรื่องของปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงาน ซึ่งมีผู้สนใจเข้าโครงการประมาณ 4 แสนคน ซึ่งขณะนี้ได้จัดฝึกอบรมแล้วประมาณเกือบ 2 แสนคน แบ่งเป็นโครงการที่ประชาชนสนใจฝึกเกือบแสนคน อีก 8 หมื่นคนจะเป็นโครงการพิเศษ ที่หน่วยงานต่างๆ ต้องการคนที่จะเข้าทำงานเช่น การคืนครูให้นักเรียน ที่เราทำการฝึกอบรม และสร้างเจ้าหน้าที่ธุรการกระจายไปตามโรงเรียนต่าง ๆ หรือจะเป็นในเรื่องการสำรวจขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังจะต้องดำเนินการอยู่ เพื่อรองรับในเรื่องของนโยบายการประกันราคาหรือประกันรายได้ในเรื่องข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และนอกจากนั้นยังมีอีกเกือบ 2 หมื่นคน ที่เข้ามาในโครงการนี้ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนเองว่า ถ้าเข้ามารับการฝึกอบรมแล้ว ทางภาคเอกชนจะชะลอการเลิกจ้าง
ที่น่าสนใจคือเมื่อฝึกอบรมแล้ว 70 % จะไปรับจ้างหรือประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโครงการที่รัฐบาลดำเนินการน่าจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ในการที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องของการว่างงาน นอกจากนี้โครงการต้นกล้าอาชีพ ยังส่งเสริมให้คนที่ผ่านโครงการกลับไปทำวิสาหกิจชุมชน เช่นที่ระยอง ฝึกเรื่องของชำร่วย โคราชทำเรื่องซ่อมกระเป๋า กางเกงยีสต์ ที่ปทุมธานี มีเพ้นท์เสื้อยืด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามปัญหาในเรื่องของเศรษฐกิจก็ยังมีอยู่ และในหลายส่วนๆ ก็ยังต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น ในส่วนของภาคเกษตร ซึ่งรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงจากระบบการแทรกแซงราคาเดิม มาเป็นระบบที่เกษตรกรทุกคน จะได้ประโยชน์ คือตั้งแต่เดือนสิงหาคมในส่วนของข้าว ที่จะให้เกษตรกรนั้นมาขึ้นทะเบียน และทุกคนที่ขึ้นทะเบียนจะได้ประโยชน์จากโครงการในการแทรกแซงของภาครัฐ ในเรื่องของโครงการประกันราคา ซึ่งจะมีการทยอยอธิบายรายละเอียดในเรื่องนี้ต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ายังมีเกษตรกรบางกลุ่มที่เดือดร้อนคือชาวสวนลำไย ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ราคาลำไยไปได้ค่อนข้างดี แต่ปรากำว่าผลผลิตลำไยออกมาค่อนข้างเร็วและมาก ทำให้กระทบกับเรื่องการตลาด ซึ่ง ครม.ได้มีมติให้กระทรวงการคลังไปเร่งรัดเรื่องอำนวยสินเชื่อกับผู้ซื้อลำไย ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะไปช่วยพิจารณากรณีสหกรณ์ที่เคยมีปัญหาจากการแทรกแซงในอดีตเรื่องหนี้สิน จะมีวิธีดูแลผ่อนผันได้อย่างไรให้สามารถเข้าไปร่วมโครงการแทรกแซงเพื่อช่วยเหลื่อชาวสวนลำไย ซึ่งรัฐบาลจะติดตามอย่างใกล้ชิด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลังได้เชิญธนาคารรัฐต่างๆ มากำหนดเป้าหมาย การปล่อยสินเชื่อ เพราะตอนี้เศรษฐกิจเริ่มทรงตัว ตัวเลขต่างๆ เริ่มเป็นบวกมากขึ้น ความกังวลวิตกกังวลเรื่องหนี้เสียจะลดลง เพราะฉะนั้นการเร่งเป้าหมายตรงนี้ก็จะทำได้มากขึ้น
เรื่องที่สองคือเรื่องของค่าเงิน ซึ่งเราก็บ่นกันว่าแข็งจนทำให้กระทบการส่งออกหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าขณะนี้ 6เดือนผ่านไป การเกินดุลการค้ามันเยอะมาก เพราะส่งออกลด การนำเข้ามาก จึงเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินแข็ง ซึ่งตรงนี้ก็ได้มีการทำความเข้าใจกันพูดคุยกับทางกระทรวงการคลัง ธปท.แล้ว ว่า การบริหารจัดการในเรื่องของเงินโดยเฉพาะเรื่องของเงินกู้ต่าง ๆ จะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินไม่ให้แข็งขึ้น
เช่นขณะนี้กำลังไล่ดูครับว่าหลายโครงการซึ่งจะต้องกู้เงินต่างประเทศเข้ามา ก็เปลี่ยนกู้ในประเทศ เพราะมีเงินในประเทศอยู่เยอะ แล้วก็ค่อยไปแลก หรือว่าถ้ากู้ ต่างประเทศเข้ามาก็มาพักไว้ก่อน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการที่จะลดแรงกดดันต่อค่าเงิน
นายอภิสิทธิ์ สรุปว่าภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง เป็นไปในแนวทางที่รัฐบาลวางไว้ แต่จะบอกว่าพอใจคงไม่ได้ ตนจะไม่พอใจจนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาบวก ตนจะไม่พอใจจนกว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะได้คำตอบสุดท้ายแล้ว ซึ่งยังไม่ได้ เราก็อยู่ในช่วงของการพิจารณารายงานของคณะกรรมการของสภาฯ มา
ก็ต้องบอกว่าแม้ว่ามีวิกฤต 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ 6 เดือนที่ผ่านมา เราก็ทำอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เช่น เรื่องของการเรียนฟรี เรื่องของการให้ขวัญกำลังใจ อสม. อย่างนี้เป็นต้น พูดกันมานานแต่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ทำแล้ว นอกจากนั้นที่สำคัญก็คือว่า การปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างของ เศรษฐกิจสังคมในระยะยาว ก็ไม่ได้มีการ พูดง่าย ๆ ว่าลืมไป ปฏิรูปการศึกษาก็เดิน ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทำเรื่องของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ Creative Economy ก็ทำ กำลังทำระบบสวัสดิการ ระบบการออม แก้ปัญหาเรื่องที่ทำกิน ด้วยการเอาระบบใหม่เข้ามา และก็ที่อยู่อาศัยที่เราไปลงพื้นที่กัน พวกนี้ก็เดินหมด