“บุณยสิทธิ์” ชูวิชั่นปั้นแบรนด์ไทยบุกตลาดอาเซียน รับเอฟทีเอปีหน้า มีผลภาษีสินค้าทุกตัวลดลง 0% ชงโมเดล “บีเอสซี”ต้นแบบสินค้าโกอินเตอร์ สั่งการบริหารในเครือ ผุดแบรนด์รับกับคนอาเซียน ระบุตลาดแข่งเดือด เวียดนาม อินโดนีเซีย คู่แข่งเริ่มแซงไทย แนะรัฐบาลอ่อนหัดไม่รู้จัก เร็ว ช้า หนัก เบา โอดยอดขายงานสหกรุ๊ปวันแรกวูบ 10-15%
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของเครือสหพัฒน์ โฟกัสการขยายตลาดต่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้น ภายใต้แนวคิดที่กว้างไกลในระดับอาเซียน หรือระดับโลก โดยเน้นการสร้างแบรนด์ไทยเพื่อขยายตลาดในอาเซียนเป็นหลัก แตกต่างจากเดิมที่เน้นทำตลาดเฉพาะภายในประเทศ จากการมีสินค้าไลเซ่นส์ต่างประเทศทำตลาดเป็นหลัก ทั้งนี้ได้ให้แนวทางการบริหารจัดการสินค้าในเครือ ต้องสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา โดยตำแหน่งของสินค้าต้องสอดรับกับพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์สำหรับคนอาเซียน
“ที่ผ่านมาเราเน้นทำตลาดเฉพาะภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่เราต้องการให้สินค้าแบรนด์ไทยซึ่งเป็นสินค้าในเครือไปเปิดตลาดอาเซียน โดยปัจจุบันภายใต้แบรนด์ “บีเอสซี” นับว่าเป็นโมเดลต้นแบบในการดำเนินธุรกิจขยายตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และล่าสุดไอ-เฮลติ ไปจำหน่ายในสวิสเซอร์แลนด์แล้ว”
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในอาเซียนหากมีการเปิดเขตการค้าอย่างเสรีและปลอดภาษีเหมือนในอียู ก็จะทำให้การค้าขายได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งในปีหน้านี้ข้อตกลงการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน มีผลทำให้ภาษีลดลงเหลือ 0% ทุกตัว ยกเว้น สินค้าอ่อนไหว อย่างไรก็ตามนโยบายบุกตลาดในอาเซียน ขณะนี้คงต้องรอดูจังหวะ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ถ้ามีลูกค้าก็จะเดินเข้าไป ถ้าไม่มีก็ไม่เข้าไป ซึ่งหากยอมรับว่าตลาดอาเซียนการค้าขายมีการแข่งขันอย่างรุนแรง หากสินค้าไทยไม่บุกเข้าไปทำตลาด สินค้าคู่แข่งก็จะเข้ามาตีตลาดไทย และหากสินค้าแบรนด์ใดเข้าไปทำตลาดก่อนก็จะประสบความสำเร็จ
ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับคู่แข่งสำคัญในอาเซียนขณะนี้ ประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซียแซงประเทศไทยไปแล้วเรียบร้อยแล้ว แต่ไทยยังมีจุดแข็งการมีโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์ อาทิ เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากร แต่การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ก็ไม่ได้เอื้อให้ต่อการค้าขายของประเทศไทยได้ โดยเฉพาะปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าและยังไม่ได้รับการแก้ไข จะสร้างผลกระทบต่อการส่งออกและลดขีดความสามารถทางการแข่งขัน
***จวกรัฐบาลไม่รู้จัก เร็ว ช้า หนัก เบา***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า การบริหารประเทศในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไม่รู้จักการจัดเรียงลำดับความสำคัญว่าปัญหาใดควรแก้ไขก่อน นโยบายใดควรทำก่อน หรือเรียกได้ว่าไม่รู้จัก เร็ว ชา หนัก เบา ที่ผ่านมาทางเครือสหพัฒน์ได้เสนอทฤษฎี 2 อ่อน ได้แก่ ค่าเงินบาทอ่อน ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสิ่งแรกรัฐบาลต้องดำเนินการ คือ การทำให้ค่าเงินบาทจาก 34 บาทต่อดอลล่าห์ อ่อนตัวลงมาที่ 40 บาทต่อดอลล่าห์ ส่วนการกู้เงิน 4 แสนล้านบาท เป็นเพียงแค่การต่อลมหายใจ หรืออายุรัฐบาลเท่านั้น
“เมื่อกู้เงินมาได้และนำเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจแล้วจะ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นเพียงช่วงเดียว และทำให้ตัวเลขจีดีพีติดลบน้อยลง ตัวเลขดูสวยขึ้น แต่หลังจากนั้นรัฐบาลก็จะถังแตกไม่มีเงินอีก เนื่องจากไม่ได้วางแผนการหาเงินเพื่อใช้คืนไว้ล่วงหน้า สำหรับการดำเนินงานของภาครัฐขณะนี้ เหมือนผลัดกันทิ้งไพ่ เพื่อโชว์ผลงานและรอวันที่จะยุบสภาฯ ”
***โอดยอดสหกรุ๊ปแฟร์วันแรกวูบ10-15%***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ : เทรด-เอ็กซ์พอร์ต –เอ็กซ์ทิบิชั่น" ครั้งที่ 13 (Saha Group Fair: Trade - Export – Exhibition) ระหว่างวันที่ 25 -28 มิถุนายน นี้ ล่าสุดตัวเลขยอดขายในวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับไม่ดีมากนัก โดยยอดลดลง 10-15% เนื่องจากคนซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก สำหรับภาพรวมของบริษัทสิ้นปีนี้คาดว่าตกลง 5-10% ซึ่งไม่ได้กระทบต่อภาพรวมบริษัทมากนัก
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของเครือสหพัฒน์ โฟกัสการขยายตลาดต่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้น ภายใต้แนวคิดที่กว้างไกลในระดับอาเซียน หรือระดับโลก โดยเน้นการสร้างแบรนด์ไทยเพื่อขยายตลาดในอาเซียนเป็นหลัก แตกต่างจากเดิมที่เน้นทำตลาดเฉพาะภายในประเทศ จากการมีสินค้าไลเซ่นส์ต่างประเทศทำตลาดเป็นหลัก ทั้งนี้ได้ให้แนวทางการบริหารจัดการสินค้าในเครือ ต้องสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา โดยตำแหน่งของสินค้าต้องสอดรับกับพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์สำหรับคนอาเซียน
“ที่ผ่านมาเราเน้นทำตลาดเฉพาะภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่เราต้องการให้สินค้าแบรนด์ไทยซึ่งเป็นสินค้าในเครือไปเปิดตลาดอาเซียน โดยปัจจุบันภายใต้แบรนด์ “บีเอสซี” นับว่าเป็นโมเดลต้นแบบในการดำเนินธุรกิจขยายตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และล่าสุดไอ-เฮลติ ไปจำหน่ายในสวิสเซอร์แลนด์แล้ว”
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในอาเซียนหากมีการเปิดเขตการค้าอย่างเสรีและปลอดภาษีเหมือนในอียู ก็จะทำให้การค้าขายได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งในปีหน้านี้ข้อตกลงการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน มีผลทำให้ภาษีลดลงเหลือ 0% ทุกตัว ยกเว้น สินค้าอ่อนไหว อย่างไรก็ตามนโยบายบุกตลาดในอาเซียน ขณะนี้คงต้องรอดูจังหวะ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ถ้ามีลูกค้าก็จะเดินเข้าไป ถ้าไม่มีก็ไม่เข้าไป ซึ่งหากยอมรับว่าตลาดอาเซียนการค้าขายมีการแข่งขันอย่างรุนแรง หากสินค้าไทยไม่บุกเข้าไปทำตลาด สินค้าคู่แข่งก็จะเข้ามาตีตลาดไทย และหากสินค้าแบรนด์ใดเข้าไปทำตลาดก่อนก็จะประสบความสำเร็จ
ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับคู่แข่งสำคัญในอาเซียนขณะนี้ ประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซียแซงประเทศไทยไปแล้วเรียบร้อยแล้ว แต่ไทยยังมีจุดแข็งการมีโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์ อาทิ เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากร แต่การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ก็ไม่ได้เอื้อให้ต่อการค้าขายของประเทศไทยได้ โดยเฉพาะปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าและยังไม่ได้รับการแก้ไข จะสร้างผลกระทบต่อการส่งออกและลดขีดความสามารถทางการแข่งขัน
***จวกรัฐบาลไม่รู้จัก เร็ว ช้า หนัก เบา***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า การบริหารประเทศในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไม่รู้จักการจัดเรียงลำดับความสำคัญว่าปัญหาใดควรแก้ไขก่อน นโยบายใดควรทำก่อน หรือเรียกได้ว่าไม่รู้จัก เร็ว ชา หนัก เบา ที่ผ่านมาทางเครือสหพัฒน์ได้เสนอทฤษฎี 2 อ่อน ได้แก่ ค่าเงินบาทอ่อน ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสิ่งแรกรัฐบาลต้องดำเนินการ คือ การทำให้ค่าเงินบาทจาก 34 บาทต่อดอลล่าห์ อ่อนตัวลงมาที่ 40 บาทต่อดอลล่าห์ ส่วนการกู้เงิน 4 แสนล้านบาท เป็นเพียงแค่การต่อลมหายใจ หรืออายุรัฐบาลเท่านั้น
“เมื่อกู้เงินมาได้และนำเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจแล้วจะ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นเพียงช่วงเดียว และทำให้ตัวเลขจีดีพีติดลบน้อยลง ตัวเลขดูสวยขึ้น แต่หลังจากนั้นรัฐบาลก็จะถังแตกไม่มีเงินอีก เนื่องจากไม่ได้วางแผนการหาเงินเพื่อใช้คืนไว้ล่วงหน้า สำหรับการดำเนินงานของภาครัฐขณะนี้ เหมือนผลัดกันทิ้งไพ่ เพื่อโชว์ผลงานและรอวันที่จะยุบสภาฯ ”
***โอดยอดสหกรุ๊ปแฟร์วันแรกวูบ10-15%***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการจัดงานสหกรุ๊ป แฟร์ : เทรด-เอ็กซ์พอร์ต –เอ็กซ์ทิบิชั่น" ครั้งที่ 13 (Saha Group Fair: Trade - Export – Exhibition) ระหว่างวันที่ 25 -28 มิถุนายน นี้ ล่าสุดตัวเลขยอดขายในวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับไม่ดีมากนัก โดยยอดลดลง 10-15% เนื่องจากคนซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก สำหรับภาพรวมของบริษัทสิ้นปีนี้คาดว่าตกลง 5-10% ซึ่งไม่ได้กระทบต่อภาพรวมบริษัทมากนัก